เก็งข้อสอบนักธรรมชั้นเอก วิชาธรรมวิภาค ปีพ.ศ.2568

เก็งข้อสอบธรรมสนามหลวง นักธรรมชั้นเอก วิชาธรรม ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๘ มีทั้งหมด ๓๐ ข้อ ดังนี้ |
|
---|---|
๑. | นิพพิทาคืออะไร ? ปฏิปทาเครื่องดําเนินให้ถึงนิพพิทานั้นอย่างไร ? |
---|---|
ต/ |
นิพพิทา คือ ความหน่ายในทุกข์ ฯ ปฏิปทาเครื่องดำเนินให้ถึงนิพพิทา คือ พิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายทั้งปวง เป็นอนัตตา ย่อมเกิดนิพพิทา ความหน่ายในทุกขขันธ์ ไม่เพลิดเพลินยึดมั่นหมกมุ่นอยู่ในสังขารอันยั่วยวนเสน่หา ฯ |
๒. | บุคคลเช่นไรชื่อว่าติดอยู่ในโลก ? ผู้ติดอยู่ในโลกจะได้รับผลอย่างไร ? |
ต/ |
บุคคลผู้ไร้พิจารณ์ไม่หยั่งเห็นโดยถ่องแท้ เพลิดเพลินในสิ่งอันให้โทษ หลงระเริงจนเกินพอดีในสิ่งอันอาจให้โทษ และติดในสิ่งอันเป็นอุปการะ
ชื่อว่า หมกอยู่ในโลก ฯ ผู้ติดอยู่ในโลก ย่อมได้เสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้าง อันสิ่งนั้น ๆ พึงอำนวย แม้สุขก็เป็นเพียงสามิสสุข คือ มีเหยื่อเจือด้วยของล่อใจ เป็นเหตุแห่ง ความติด ดุจเหยื่อ คือ มังสะอันเบ็ดเกี่ยวไว้ ฯ |
๓. | คำว่า มารและบ่วงแห่งมาร หมายถึงอะไร ? |
ต/ |
คำว่า มาร หมายถึง กิเลสกาม คือ เจตสิกอันเศร้าหมอง ชวนให้ใคร่ ได้แก่ ตัณหา ราคะ และอรติ เป็นต้น คำว่า บ่วงแห่งมาร หมายถึง วัตถุกาม ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ อันเป็นของน่าชอบใจ ฯ |
๔. | อนิจจตา ความไม่เที่ยงแห่งสังขาร กําหนดรู้ในทางง่ายได้ด้วยอาการอย่างไร ? |
ต/ | ด้วยความเกิดขึ้นในเบื้องต้น และความสิ้นไปในเบื้องปลาย ฯ |
๕. | บุคคลพึงกำหนดรู้สังขารทั้งหลายโดยความเป็นอนัตตาด้วยอากาอย่างไรบ้าง |
ต/ |
ด้วยอาการอย่างนี้ คือ ๑. ด้วยไม่อยู่ในอำนาจ หรือฝืนความปรารถนา ๒. ด้วยแย้งต่ออัตตา ๓. ด้วยความเป็นสภาพหาเจ้าของมิได้ ๔. ด้วยความเป็นสภาพสูญ คือว่าง หรือหายไป ๕. ด้วยความเป็นสภาวธรรมเป็นไปตามเหตุปัจจัย ฯ |
๖. | วัฏฏะ ในคำว่า วัฏฏูปัจเฉโท นั้น หมายถึงอะไร ? และจะตัดวัฏฏะได้ อย่างไร ? |
ต/ |
หมายถึง ความเวียนเกิดเวียนตายด้วยอำนาจกิเลส กรรม และวิบาก ฯ ตัดด้วยอาการที่ละกิเลสอันเป็นเบื้องต้นเสีย ฯ |
๗. | คำว่า มะทะนิมมะทะโน ธรรมยังความเมาให้สร่างหมายถึงความเมาในอะไร ? |
ต/ | หมายถึง ความเมาในอารมณ์อันยั่วยวนให้เกิดความเมาทุกประการ เช่น ชาติ สกุล อิสริยะ บริวาร ก็ดี ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็ดี เยาว์วัย ความหาโรคมิได้ และชีวิต ก็ดี นับเข้าในอารมณ์ประเภทนี้ ฯ |
๘. | ไวพจน์แห่งวิราคะ ได้แก่อะไรบ้าง ? |
ต/ |
๑. มทนิมฺมทโน แปลว่า ธรรมยังความเมาให้สร่าง ๒. ปิปาสวินโย แปลว่า ความนําเสียซึ่งความกระหาย ๓. อาลยสมุคฺฆาโต แปลว่า ความถอนขึ้นด้วยดีซึ่งอาลัย ๔. วฏฺฏูปจฺเฉโท แปลว่า ความเข้าไปตัดเสียซึ่งวัฏฏะ ๕. ตณฺหกฺขโย แปลว่า ความสิ้นแห่งตัณหา ๖. วิราโค แปลว่า ความสิ้นกําหนัด ๗. นิโรโธ แปลว่า ความดับ ๘. นิพฺพานํ แปลว่า ธรรมชาติหาเครื่องเสียบแทงมิได้ ฯ |
๙. | ความหลุดพ้นอย่างไรเป็นสมุทวิมุตติ ? จัดเป็นโลกิยะหรือโลกุตตระ ? |
ต/ |
ความหลุดพ้นด้วยการตัดกิเลสได้เด็ดขาด ได้แก่ อริยมรรค ฯ จัดเป็นโลกุตตระ ฯ |
๑๐. | ในวิมุตติ ๕ วิมุตติใดจัดเป็น อริยมรรค อริยผล นิพพาน ? |
ต/ |
สมุจเฉทวิมุตติ จัดเป็น อริยมรรค ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ จัดเป็น อริยผล นิสสรณวิมุตติ จัดเป็น นิพพาน ฯ |
๑๑. | วิมุตติ ๕ อย่างไหนเป็นโลกิยะ อย่างไหนเป็นโลกุตตระ ? |
ต/ |
ตทังควิมุตติ วิกขัมภนวิมุตติ เป็นโลกิยะ สมุจเฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ นิสสรณวิมุตติ เป็นโลกุตตระ ฯ |
๑๒. | พระบาลีว่า “ปญฺญาย ปริสุชฺฌติ บุคคลย่อมหมดจดด้วยปัญญา” มีอธิบายอย่างไร ? |
ต/ | มีอธิบายว่า ผู้พิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เกิดความเบื่อหน่ายแล้ววางเฉยในสังขารนั้น ไม่ยินดีไม่ยินร้าย ได้บรรลุอริยมรรค อริยผล ความหมดจดย่อมเกิดด้วยปัญญาอย่างนี้ ฯ |
๑๓. | จงจัดมรรค ๘ เข้าในวิสุทธิ ๗ มาดู |
ต/ |
สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ จัดเข้าในสีลวิสุทธิ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ จัดเข้าในจิตตวิสุทธิ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ จัดเข้าในทิฏฐิวิสุทธิ กังขาวิตรณวิสุทธิ มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ญาณทัสสนวิสุทธิ ฯ |
๑๔. | โลกามิส คืออะไร ? ที่ได้ชื่ออย่างนั้นเพราะเหตุไร ? |
ต/ |
โลกามิส คือ กามคุณ ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ ฯ ที่ได้ชื่ออย่างนั้น เพราะเป็นเครื่องล่อใจให้ติดอยู่ในโลก ดุจเหยื่ออันเบ็ดเกี่ยวไว้ ฉะนั้น ฯ |
๑๕. | สันติ ความสงบ หมายถึง สงบอะไร ? ผู้มุ่งสันติสุขอย่างแท้จริง ท่านสอนให้ละอะไร ? |
ต/ |
สันติ หมายถึง สงบกาย วาจา ใจ ฯ ผู้มุ่งสันติสุขอย่างแท้จริง ท่านสอนให้ละโลกามิส คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบ ใจ ฯ |
๑๖. | สอุปาทิเสสนิพพาน กับ อนุปาทิเสสนิพพาน ต่างกันอย่างไร ? |
ต/ |
ต่างกัน คือ
สอุปาทิเสสนิพพาน เป็นความดับกิเลสที่ยังมีเบญจขันธ์เหลือ อนุปาทิเสสนิพพาน เป็นความดับกิเลสที่ไม่มีเบญจขันธ์เหลือ ฯ |
๑๗. | ข้อว่า ปลงภาระอันหนักเสียแล้ว ไม่ถือเอาภาระอันอื่น ดังนี้ มีอธิบายอย่างไร ? |
ต/ |
มีอธิบายว่า ภาระ หมายถึง เบญจขันธ์ การปลงภาระ หมายถึง การถอนอุปาทาน การไม่ถือเอาภาระอื่น หมายถึง การไม่ถือเบญจขันธ์อื่นด้วยอุปาทาน ฯ |
๑๘. | คติ คืออะไร ? สัตว์โลกตายไปแล้ว มีคติเป็นอย่างไรบ้าง ? |
ต/ |
คติ คือ ภูมิหรือภพเป็นที่ไปหลังจากตายแล้ว ฯ มีคติเป็น ๒ คือ ๑. ทุคติ ภูมิเป็นที่ไปข้างชั่ว ซึ่งเกิดจากการประพฤติทุจริต ทางกายวาจาใจ ๒. สุคติ ภูมิเป็นที่ไปข้างดี ซึ่งเกิดจากการประพฤติสุจริต ทางกายวาจาใจ ฯ |
๑๙. | อบาย คืออะไร ? ในอรรถกถาแจกไว้เป็น ๔ อย่าง อะไรบ้าง ? |
ต/ |
อบาย คือ โลกที่ปราศจากความเจริญ ฯ ในอรรถกถาแจกไว้เป็น ๔ ได้แก่ ๑) นิรยะ ๒) ติรัจฉานโยนิ ๓) ปิตติวิสยะ ๔) อสุรกาย ฯ |
๒๐. | คำว่า สุคติ กับทุคติ คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? |
ต/ |
สุคติ คือ ภูมิเป็นที่ไปข้างดี ฯ มี ๑) เทวะ ๒) มนุษย์ หรือ ๑) สุคติ ๒) โลกสวรรค์ ฯ ทุคติ คือ ภูมิเป็นที่ไปข้างชั่ว ฯ มี ๑) นรก ๒) สัตว์เดรัจฉาน ๓) เปรต ๔) อสุรกาย ฯ |
๒๑. | สมถกัมมัฏฐาน กับวิปัสสนากัมมัฏฐาน ต่างกันอย่างไร ? หัวใจสมถกัมมัฏฐานมีอะไรบ้าง ? |
ต/ |
ต่างกันอย่างนี้ คือ สมถกัมมัฏฐาน คือ กัมมัฏฐานเป็นอุบายเครื่องสงบใจ วิปัสสนากัมมัฏฐาน คือ กัมมัฏฐานเป็ นอุบายเครื่องเรืองปัญญา ฯ หัวใจสมถกัมมัฏฐานมี ๑) กายาคตาสติ ๒) เมตตา ๓) พุทธานุสสติ ๔) กสิณ และ ๕) จตุธาตุววัตถาน ฯ |
๒๒. | ผู้เจริญเมตตาเป็นประจำ ย่อมได้รับอานิสงส์อย่างไรบ้าง ? จงเลือกตอบมา ๓ ข้อ |
ต/ |
ได้รับอานิสงส์อย่างนี้ ๑. หลับอยู่ก็เป็นสุข ๒. ตื่นอยู่ก็เป็นสุข ๓. ไม่ฝันเห็นสิ่งลามก ๔. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย ๕. เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย มีข้ออื่นอีก ฯ |
๒๓. | สมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน ให้ผลต่างกันอย่างไร ? |
ต/ |
ให้ผลต่างกันดังนี้ สมถกัมมัฏฐาน ให้ผลอย่างต่ำ คือทำให้ระงับนิวรณ์บางอย่าง ได้ อย่างสูง คือทำให้บรรลุฌานต่าง ๆ มีปฐมฌาน เป็นต้น วิปัสสนากัมมัฏฐาน ให้ผลอย่างต่ำ คือทำให้ได้ปัญญาเห็นสัจจธรรม อย่างสูง คือทำให้บรรลุพระนิพพาน ฯ |
๒๔. | เจริญมรณัสสติอย่างไรจึงแยบคาย บรรเทาความเมาในชีวิต ไม่ติดในโลกธรรม ? |
ต/ |
เจริญพร้อมด้วยองค์ ๓ คือ ๑. สติ ระลึกถึงความตาย ๒. ญาณ รู้ว่าความตายจักมีแก่ตน ๓. เกิดสังเวชสลดใจ ฯ |
๒๕. | พระพุทธคุณ ๙ ประการนั้น ส่วนไหนเป็นเหตุ ส่วนไหนเป็นผล ? เพราะเหตุไร ? |
ต/ |
พระพุทธคุณ ส่วนอัตตสมบัติ เป็นเหตุ พระพุทธคุณ ส่วนปรหิตปฏิบัติ เป็นผล ฯ เพราะทรงบริบูรณ์ด้วยพระพุทธคุณส่วนอัตตสมบัติก่อน แล้วจึงทรงบำเพ็ญพุทธกิจให้สำเร็จประโยชน์แก่เวไนยสัตว์ ฯ |
๒๖. | คนสัทธาจริตมีนิสัยอย่างไร ? คนประเภทนี้ควรเจริญกัมมัฏฐานใดบ้าง ? |
ต/ |
มีนิสัยเชื่อง่ายโดยไม่พิจารณาถึงเหตุผล ฯ ควรเจริญอนุสสติกัมมัฏฐาน ๖ ประการ คือ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ และ เทวตานุสสติ อย่างใดอย่างหนึ่ง ฯ |
๒๗. | อารมณ์ของวิปัสสนากัมมัฏฐาน ได้แก่อะไรบ้าง ? |
ต/ | ได้แก่ สังขารทั้งหลาย ทั้งที่เป็นอุปาทินนกะและอนุปาทินนกะ (หรือธรรมในวิปัสสนาภูมิ คือ ขันธ์ อายตนะ ธาตุ เป็นต้น) ฯ |
๒๘. | ผู้ที่จะเจริญวิปัสสนาปัญญา พึงรู้ฐานะ ๖ ก่อน ทั้ง ๖ ประการนั้น มีอะไรบ้าง ? |
ต/ |
ฐานะ ๖ มี ๑. อนิจจะ สภาวะอันไม่เที่ยง ๒. อนิจจลักขณะ เครื่องหมายที่จะให้กําหนดรู้ว่าไม่เที่ยง ๓. ทุกขะ สภาวะอันสัตว์ทนได้ยาก ๔. ทุกขลักขณะ เครื่องหมายที่จะให้กําหนดรู้ว่าเป็นทุกข์ ๕. อนัตตา สภาวะอันไม่ใช่ตัวตน ๖. อนัตตลักขณะ เครื่องหมายที่จะกําหนดรู้ว่าเป็นอนัตตา ฯ |
๒๙. | ผู้เจริญมหาสติปัฏฐาน ต้องประกอบด้วยธรรมใดบ้างจึงจะกำจัดอภิชฌาและโทมนัสได้ ? |
ต/ |
ต้องประกอบด้วยธรรม ๓ คือ ๑. อาตาปี มีความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อน ๒. สัมปชาโน รู้ทั่วพร้อม ๓. สติมา มีสติ ฯ |
๓๐. | พระคิริมานนท์หายจากอาพาธเพราะฟังธรรมจากใคร ? ธรรมนั้นว่าด้วยเรื่องอะไร ? |
ต/ |
พระคิริมานนท์หายจากอาพาธเพราะฟังธรรมจาก พระอานนท์ ฯ ธรรมนั้นว่าด้วยเรื่อง สัญญา ๑๐ ฯ |