เก็งข้อสอบนักธรรมชั้นโท วิชาธรรม ปีพ.ศ.2568

|
เก็งข้อสอบธรรมสนามหลวง นักธรรมชั้นโท วิชาธรรม ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๘ มีทั้งหมด ๓๐ ข้อ ดังนี้ |
|
|---|---|
| ๑. | สังขตธรรมคืออะไร ? มีลักษณะอย่างไร ? |
|---|---|
| ต/ |
สังขตธรรม คื อธรรมอันปัจจัยปรุงแต่ง ฯ มีลักษณะคือ มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนในท่ามกลาง มีความดับไปในที่สุด ฯ |
| ๒. | การพิจารณาสังขารทั้งหลายโดยความเป็นไตรลักษณ์ จัดเป็นกัมมัฏฐานอะไร ? มีประโยชน์อย่างไร ? |
| ต/ |
จัดเป็นวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฯ มีประโยชน์ คือทำให้รู้จักสภาพที่เป็นจริงแห่งสังขารทั้งหลายว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มิใช่ตัวตน ฯ |
| ๓. | ราคะ โลภะ อิสสา กลิ่น รส อย่างไหนเป็นกิเลสกาม อย่างไหนเป็นวัตถุกาม ? |
| ต/ |
ราคะ โลภะ อิสสา เป็นกิเลสกาม กลิ่น รส เป็นวัตถุกาม ฯ |
| ๔. | สมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน มุ่งผลแห่งการปฏิบัติอย่างไร ? | |
| ต/ |
สมถกรรมฐานมุ่งผล คือความสงบใจ วิปัสสนากรรมฐานมุ่งผล คือความเรืองปัญญา ฯ |
| ๕. | บูชา ๒ คืออะไรบ้าง ? การสมาทานศีล ๕ เป็นประจำจัดเป็นบูชาประเภทใด ? |
| ต/ |
บูชา ๒ คือ ๑. อามิสบูชา บูชาด้วยอามิสสิ่งของ ๒. ปฏิบัติบูชา บูชาด้วยการปฏิบัติตาม ฯ การสมาทานศีล ๕ เป็นปฏิบัติบูชา ฯ |
| ๖. | ปฏิสันถาร มีอะไรบ้าง ? มีประโยชน์แก่ผู้ทำอย่างไรบ้าง ? |
| ต/ |
ปฏิสันถาร ได้แก่ ๑) อามิสปฏิสันถาร ต้อนรับด้วยสิ่งของ ๒) ธัมมปฏิสันถาร ต้อนรับโดยธรรม ฯ มีประโยชน์อย่างนี้คือ ๑) เป็นอุบายสร้างความสามัคคีและยึดเหนี่ยวน้ำใจกัน ๒) เป็นการรักษาไมตรีจิตระหว่างกันและกันให้มั่นคงยิ่งขึ้น ฯ |
| ๗. | กายวิเวก จิตตวิเวก และอุปธิวิเวก หมายถึงอะไร ? |
| ต/ |
กายวิเวก หมายถึง สงัดกาย ได้แก่อยู่ในที่สงัด จิตตวิเวก หมายถึง สงัดจิต ได้แก่ทําจิตให้สงบด้วยสมถภาวนา อุปธิวิเวก หมายถึง สงัดกิเลส ได้แก่ทําใจให้บริสุทธิ์จากกิเลสด้วยวิปัสสนาภาวนา ฯ |
| ๘. | อธิปเตยยะ ๓ มีอะไรบ้าง ? บุคคลผู้ถือความถูกต้องเป็นใหญ่ ทำด้วยความเมตตา กรุณา เป็นต้น จัดเข้าในอธิปเตยยะข้อไหน ? |
| ต/ |
อธิปเตยยะ ๓ มี ๑. อัตตาธิปเตยยะ ความมีตนเป็นใหญ่ ๒. โลกาธิปเตยยะ ความมีโลกเป็นใหญ่ ๓. ธัมมาธิปเตยยะ ความมีธรรมเป็นใหญ่ ฯ บุคคลถือความถูกต้องเป็นใหญ่จัดเข้าใน ธัมมาธิปเตยยะ ฯ |
| ๙. | ความตริในฝ่ายชั่ว เรียกว่าอะไร ? มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? |
| ต/ |
ความตริในฝ่ายชั่ว เรียกว่า อกุศลวิตก ฯ มี ๓ อย่าง คือ ๑) กามวิตก ความตริในทางกาม ๒) พยาบาทวิตก ความตริในทางพยาบาท ๓) วิหิงสาวิตก ความตริในทางเบียดเบียน ฯ |
| ๑๐. | ญาณ ๓ ที่เป็นไปในทุกขสมุทัยมีอธิบายอย่างไร ? |
| ต/ |
๑. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสมุทัย จัดเป็นสัจจญาณ ๒. ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขสมุทัย เป็นสภาพที่ควรละ จัดเป็นกิจจญาณ ๓. ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขสมุทัย เป็นสภาพที่ละได้แล้ว จัดเป็นกตญาณ ฯ |
| ๑๑. | คำว่า “โสดาบัน" แปลว่าอะไร ? ผู้บรรลุโสดาบันนั้น ละสังโยชน์อะไรได้เด็ดขาด ? |
| ต/ |
โสดาบัน แปลว่า ผู้แรกถึงกระแสพระนิพพาน ฯ ละสังโยชน์ได้เด็ดขาด ๓ อย่าง คือ ๑) สักกายทิฏฐิ ๒) วิจิกิจฉา ๓) สีลัพพตปรามาส ฯ |
| ๑๒. | พระอริยบุคคล ๔ ได้แก่ใครบ้าง ? พระอริยบุคคลประเภทใดละอวิชชาได้เด็ดขาด ? |
| ต/ |
พระอริยบุคคล ๔ ได้แก่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ฯ พระอรหันต์ละอวิชชาได้เด็ดขาด ฯ |
| ๑๓. | ปฏิปทาของพระอริยบุคคลผู้เป็นสมถะ เรียกว่าอะไร ? มีอะไรบ้าง ? |
| ต/ |
เรียกว่า อริยวงศ์ ฯ มี ๔ คือ ๑. สันโดษด้วยจีวรตามมีตามเกิด ๒. สันโดษด้วยบิิณฑบาตตามมีตามเกิด ๓. สันโดษด้วยเสนาสนะ ๔. ยินดีในการเจริญกุศลและในการละอกุศล ฯ |
| ๑๔. | ทิฏฐิ อวิชชา เพราะเหตุไรจึงเรียกว่า โอฆะ โยคะ อาสวะ? |
| ต/ |
เรียกว่า โอฆะ เพราะเป็นดุจกระแสน้ำอันท่วมใจสัตว์ เรียกว่า โยคะ เพราะประกอบสัตว์ไว้ในภพ เรียกว่า อาสวะ เพราะเป็็นสภาพหมักหมมอยู่ในสันดาน ฯ |
| ๑๕. | ข้อว่า “พิจารณาแล้วบรรเทาของอย่างหนึ่ง” ของอย่างหนึ่งนั้นคืออะไร ? |
| ต/ | ของอย่างหนึ่ง คือ อกุศลวิตกอันสัมปยุตด้วยกาม พยาบาท วิหิงสา ฯ |
| ๑๖. | เมตตา มีความหมายว่าอย่างไร ? เมตตาในพรหมวิหาร และในอัปปมัญญา ต่างกันอย่างไร ? |
| ต/ |
เมตตา มีความหมายว่า ปรารถนาความสุขความเจริญต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ ฯ ต่างกันโดยวิธีแผ่ คือ แผ่โดยเจาะจงก็ดี โดยไม่เจาะจงก็ดี จัดเป็นพรหมวิหาร ถ้าแผ่โดยไม่เจาะจงไม่จำกัด จัดเป็นอัปปมัญญา ฯ |
| ๑๗. | กิจในอริยสัจ ๔ มีอะไรบ้าง ? |
| ต/ |
กิจในอริยสัจ ๔ มี ๑. ปริญญา กำหนดรู้ทุกขสัจ ๒. ปหานะ ละสมุทัยสัจ ๓. สัจฉิกรณะ ทำให้แจ้งนิโรธสัจ ๔. ภาวนา ทำมัคคสัจให้เกิด ฯ |
| ๑๘. | ชิวหาวิญญาณและกายวิญญาณ เกิดขึ้นเพราะอาศัยอะไร ? |
| ต/ |
ชิวหาวิญญาณเกิดขึ้นเพราะอาศัยลิ้นกับรส กายวิญญาณเกิดขึ้นเพราะอาศัยกายกับโผฏฐัพพะ ฯ |
| ๑๙. | สังวร คืออะไร ? สติสังวร สำรวมด้วยสตินั้น มีอธิบายอย่างไร ? |
| ต/ |
สังวร คือ การสำรวมระวังปิดกั้นอกุศล ฯ มีอธิบายว่า สำรวมอินทรีย์มีจักษุเป็นต้น ระวังรักษามิให้อกุศลธรรมเข้าครอบงำ เมื่อเห็นรูปเป็นต้น ทั้งมีสติไม่ฟั่นเฟือน ลืมหลง ระลึกได้ก่อนแต่ทำ พูด คิด ไม่ให้ผิด ทางกาย วาจา ใจ ไม่ประมาทหลงทำกรรมชั่ว ฯ |
| ๒๐. | มัจจุมารได้แก่อะไร ? ได้ชื่อว่าเป็นมารเพราะเหตุไร ? |
| ต/ |
มัจจุมาร ได้แก่ ความตาย ฯ ชื่อว่าเป็นมาร เพราะเมื่อความตายเกิดขึ้น บุคคลย่อมหมดโอกาสที่จะทําความดีอีกต่อไป ฯ |
| ๒๑. | มาร ๕ คืออะไรบ้าง ? ปัญจขันธ์ ได้ชื่อว่าเป็นมารเพราะเหตุไร ? |
| ต/ |
มาร ๕ คือ ขันธมาร กิเลสมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร และเทวปุตตมาร ฯ เพราะปัญจขันธ์นั้น บางทีทําความลําบากให้ อันเป็นเหตุเบื่อหน่ายจนถึงฆ่าตัวตายเสียเองก็มี ฯ |
| ๒๒. | คนมีปกติรักสวยรักงาม จัดเป็นจริตอะไร ? จะพึงแก้ได้ด้วยการพิจารณากรรมฐานข้อใดได้บ้าง ? | |
| ต/ |
จัดเป็นราคจริต ฯ จะพึงแก้ได้ด้วยการพิจารณากายคตาสติ หรือ อสุภกรรมฐาน ฯ |
| ๒๓. | พระธรรมคุณบทว่า “เอหิปัสสิโก” มีอธิบายว่าอย่างไร ? |
| ต/ | มีอธิบายว่า พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถที่จะพิสูจน์ได้และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อประโยชน์สุขได้ทุกเวลา ฯ |
| ๒๔. | กิเลสที่ได้ชื่อว่า อนุสัย และได้ชื่อว่า สังโยชน์ มีอธิบายอย่างไร ? |
| ต/ |
กิเลสที่ได้ชื่อว่าอนุสัย เพราะเป็นกิเลสอย่างละเอียด นอนเนื่องอยู่ในสันดานของสัตว์ มักไม่ปรากฎ ต่อเมื่อมีอารมณ์มายั่ว จึงปรากฎขึ้น กิเลสที่ได้ชื่อว่าสังโยชน์ เพราะเป็นกิเลสที่ผูกใจไว้กับภพไม่ให้หลุดพ้นไปได้ ฯ |
| ๒๕. | วิญญาณฐิติ ต่างจากสัตตาวาส อย่างไร ? |
| ต/ |
ต่างกันอย่างนี้ ภูมิเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณ เรียกว่า วิญญาณฐิติ ภพเป็นที่อยู่แห่งสัตว์ เรียกว่า สัตตาวาส |
| ๒๖. | ในอวิชชา ๘ ข้อที่ว่า “ไม่รู้จักอนาคต” มีอธิบายว่าอย่างไร ? |
| ต/ | มีอธิบายว่า ไม่รู้จักคิดล่วงหน้า ไม่อาจปรารภการที่ทำ หรือเหตุอันเกิดขึ้นในปัจจุบันว่าจักมีผลเป็นอย่างนั้น ๆ ฯ |
| ๒๗. | พระพุทธคุณ บทว่า อรหํ ที่แปลว่าเป็นผู้กำแห่งสังสารจักร กำแห่งสังสารจักรนั้นได้แก่อะไร ? |
| ต/ | กำแห่งสังสารจักร ได้แก่ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน และกรรม ฯ |
| ๒๘. | พระสงฆ์ปฏิบัติอย่างไร จึงได้ชื่อว่า อุชุปฏิปันโน เป็นผู้ปฏิบัติตรง ? |
| ต/ | คือ ไม่ปฏิบัติลวงโลก ไม่มีมายาสาไถย ประพฤติตรงๆ ต่อพระศาสดา และเพื่อนสาวกด้วยกัน ไม่อําพรางความในใจ ไม่มีแง่มีงอน ฯ |
| ๒๙. | บารมี คืออะไร ? อธิษฐานบารมี คือการทำอย่างไร ? |
| ต/ |
บารมี คือ ปฏิปทาอันยิ่งยวด หรือคุณธรรมที่ประพฤติอย่างยิ่งยวด ได้แก่ ความดีทีบำเพ็ญอย่างพิเศษ เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุด ฯ อธิษฐานบารมี คือความตั้งใจมั่นตัดสินใจเด็ดเดี่ยว วางจุดหมายแห่งการกระทำของตนไว้แน่นอนและดำเนินตามนั้นอย่างแน่วแน่ ฯ |
| ๓๐. | ธุดงค์ ท่านบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร ? ภิกษุผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตรอย่างเคร่ง ท่านให้ถือปฏิบัติอย่างไร ? |
| ต/ |
เพื่อเป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ อย่างเคร่ง เมื่อเลิกบิณฑบาต นั่งลงแล้ว แม้มีผู้มาใส่บาตรอีก ก็ไม่รับ ฯ |