เก็งข้อสอบนักธรรมชั้นเอก วิชาพุทธานุพุทธประวัติ ปี 2567
ติวเข้มเตรียมสอบธรรมสนามหลวง นักธรรมชั้นเอก วิชาพุทธานุพุทธประวัติ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๗ มีทั้งหมด ๓๒ ข้อ ดังนี้ครับ |
---|
๑. | ศากยวงศ์สืบเชื้อสายมาจากใคร ? ที่ได้นามว่า ศากยะ เพราะเหตุไร ? |
---|---|
ต/ |
ศากยวงศ์สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าโอกกากราช ฯ ที่ได้นามว่า ศากยะ เพราะเหตุ ๒ ประการ คือ ๑) เพราะได้ชื่อตามชนบทที่ตั้งเมือง ๒) เพราะมีความกล้าหาญ สามารถตั้งเมืองได้เอง ฯ |
๒. | อาสภิวาจา คือวาจาเช่นไร ? มีใจความว่าอย่างไร ? |
ต/ |
อาสภิวาจา คือวาจาที่เปล่งอย่างองอาจ เป็นภาษิตของบุรุษพิเศษอาชาไนย ฯ มีใจความว่า เราเป็นผู้เลิศ เป็นผู้เจริญ เป็นผู้ประเสริฐแห่งโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ภพใหม่มิได้มี ฯ |
๓. | พระพุทธองค์ทรงอธิษฐานจาตุรงคมหาปธาน มีใจความว่าอย่างไร ? ที่ไหน ? และได้รับผลอย่างไร ? |
ต/ |
มีใจความว่า หากยังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้วจักไม่ลุกขึ้น แม้เนื้อและเลือดจะแห้งเหือดไป เหลือแต่หนัง เอ็น และกระดูกก็ตาม ฯ ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ฯ ได้รับผล คือ บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณสมดังพระหฤทัย ฯ |
๔. | พระพุทธเจ้าหลังจากได้ตรัสรู้แล้ว ทรงเปล่งอุทานในยามสุดท้ายว่าอย่างไร ? |
ต/ | ทรงเปล่งอุทานว่า เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้นพราหมณ์นั้น ย่อมกําจัดมารและเสนามารเสียได้ ดุจพระอาทิตย์อุทัยกําจัดมืดให้สว่างฉะนั้น ฯ |
๕. | ทางปฏิบัติที่สุด ๒ อย่าง อันบรรพชิตไม่ควรเสพนั้นคืออะไรบ้าง ? มีอธิบายอย่างไร ? |
ต/ |
อันบรรพชิตไม่ควรเสพ คือ ๑. กามสุขัลลิกานุโยค ๒. อัตตกิลมถานุโยค ฯ มีอธิบายดังนี้ กามสุขัลลิกานุโยค คือการประกอบตนให้พัวพันด้วยสุขในกาม เป็นธรรมอันเลว เป็นเหตุตั้งบ้านเรือน เป็นของคนมีกิเลสหนา ไม่ใช่ของคนอริยะ คือผู้บริสุทธิ์ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ อัตตกิลมถานุโยค คือการประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตนเปล่า ให้เกิดทุกข์แก่ผู้ประกอบ ไม่ทำผู้ประกอบให้เป็นอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ฯ |
๖. | พระมหาบุรุษทรงทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตายแล้ว ทรงบรรเทาความเมาในอะไรได้ ? |
ต/ |
ทรงบรรเทา คือ ๑. ความเมาในวัย ๒. ความเมาในความไม่มีโรค ๓. ความเมาในชีวิต ฯ |
๗. | ในขณะเสวยวิมุตติสุขใต้ร่มไม้มหาโพธิ์ พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาข้อธรรมอะไร ? และธรรมนั้นมีใจความย่อว่าอย่างไร ? |
ต/ |
ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท ฯ มีใจความย่อว่า สภาวะอย่างหนึ่งเป็นผลเกิดแต่เหตุอย่างหนึ่งแล้ว ซ้ำเป็นเหตุยังผลอย่างอื่นให้เกิดต่อไปอีก เหมือนลูกโซ่เกี่ยวคล้องกันเป็นสาย ฯ |
๘. | พุทธจักษุ กับธรรมจักษุ ต่างกันอย่างไร ? แต่ละอย่างใครได้บรรลุเป็นองค์แรก ? |
ต/ |
พุทธจักษุ คือ จักษุของพระพุทธเจ้า หมายถึง พระปัญญาของพระพุทธองค์ ที่ทรงพิจารณาเห็นอุปนิสัยแห่งเวไนยสัตว์ ธรรมจักษุ หมายถึง ดวงตาเห็นธรรม ได้แก่ โสดาปัตติมรรค ฯ พุทธจักษุ พระพุทธเจ้าได้เป็นพระองค์แรกและพระองค์เดียว ธรรมจักษุ พระอัญญาโกณฑัญญะได้บรรลุเป็นองค์แรก ฯ |
๙. | ภัพพบุคคลและอภัพพบุคคล ที่ท่านเปรียบกับดอกบัว ๔ เหล่า คือบุคคลประเภทใดบ้าง ? |
ต/ |
ภัพพบุคคล คือ บุคคลผู้สามารถจะตรัสรู้ธรรมได้ ได้แก่ ๑. อุคฆติตัญญู ที่เปรียบด้วยดอกบัวพ้นน้ำ ๒. วิปจิตัญญู ที่เปรียบด้วยดอกบัวเสมอน้ำ ๓. เนยยะ ที่เปรียบด้วยดอกบัวที่ยังอยู่ในน้ำ อภัพพบุคคล คือ บุคคลผู้ไม่สามารถจะตรัสรู้ธรรมได้ ได้แก่ ๔. ปทปรมะ ที่เปรียบด้วยดอกบัวที่เป็นภักษาหารแห่งปลาและเต่า ฯ |
๑๐. | อนิมิสเจดีย์และรัตนจงกรมเจดีย์ เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงกระทำกิจอะไร ? |
ต/ |
อนิมิสเจดีย์ เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าประทับยืนจ้องดูต้นพระมหาโพธิ์ โดยมิได้กระพริบพระเนตรตลอด ๗ วัน รัตนจงกรมเจดีย์ เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงนิรมิตที่จงกรมขึ้นแล้วเสด็จจงกรม ณ ที่นั้นตลอด ๗ วัน ฯ |
๑๑. | ดวงตาเห็นธรรมปราศจากธุลี เกิดขึ้นแก่พระโกณฑัญญะ ความว่าอย่างไร ? ในขณะนั้น ท่านเป็นพระอริยบุคคลชั้นไหน ? |
ต/ |
ความว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้ง หมดมีความดับไปเป็นธรรมดา ฯ ในขณะเป็นพระอริยบุคคลชั้นพระโสดาบัน ฯ |
๑๒. | อนัตตลักขณสูตร และ อาทิตตปริยายสูตร มีใจความโดยย่อ ว่าอย่างไร ? |
ต/ |
อนัตตลักขณสูตร มีใจความโดยย่อว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งรวมเรียกว่า ขันธ์ ๕ นี้ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตน ฯ อาทิตตปริยายสูตร มีใจความโดยย่อว่า อายตนะภายใน อายตนะ ภายนอก วิญญาณ สัมผัส และเวทนาที่เกิดแต่สัมผัส เป็นของร้อน ร้อนเพราะไฟ คือ ราคะ โทสะ โมหะ และร้อนเพราะ ความเกิด ความแก่ ความตาย ความโศก ร่ำไรรำพัน เจ็บกาย เสียใจ คับใจ ฯ |
๑๓. | พระเจ้าพิมพิสาร เมื่อครั้งยังเป็นพระราชกุมารได้ตั้งความปรารถนาไว้อย่างไรบ้าง ? |
ต/ |
พระเจ้าพิมพิสาร ได้ตั้งความปรารถนาไว้ว่า ๑) ขอให้ข้าพเจ้า ได้รับอภิเษกเป็นพระเจ้าแผ่นดินมคธนี้เถิด ๒) ขอท่านผู้เป็นพระอรหันต์ผู้รู้เองเห็นเองโดยชอบ พึงมายังแว่นแคว้นของข้าพเจ้าผู้ได้รับอภิเษกแล้ว ๓) ขอข้าพเจ้า พึงได้เข้าไปนั่งใกล้พระอรหันต์นั้น ๔) ขอพระอรหันต์นั้น พึงแสดงธรรมแก่ข้าพเจ้า ๕) ขอข้าพเจ้า พึงรู้ทั่วถึงธรรมของพระอรหันต์นั้น |
๑๔. | โอวาทปาฏิโมกข์ทรงแสดงที่ไหน ? มีใจความย่อว่าอย่างไร ? |
ต/ |
ที่วัดเวฬุวนาราม กรุงราชคฤห์ ฯ มีใจความย่อว่า ไม่ทําบาปทั้งปวง ทํากุศลให้ถึงพร้อม ทําใจให้บริสุทธิ์ ฯ |
๑๕. | พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดพุทธบริษัท ด้วยอาการ ๔ อย่าง อะไรบ้าง ? |
ต/ |
ด้วยอาการดังนี้ ๑. สันทัสสนา อธิบายให้แจ่มแจ้งให้เข้าใจชัด ๒. สมาทปนา ชวนให้มีแก่ใจสมาทาน คือ ทำตาม ๓. สมุตเตชนา ชักนำให้เกิดอุตสาหะอาจหาญเพื่อจะทำ ๔. สัมปหังสนา พยุงให้ร่าเริงในอันทำ ฯ |
๑๖. | “ท่านประพฤติพรหมจรรย์เพื่ออะไร” ใครเป็นผู้ถาม ใครเป็นผู้ตอบ ? และตอบว่าอย่างไร ? |
ต/ |
พระสารีบุตรเป็นผู้ถาม พระปุณณมันตานีบุตรเป็นผู้ตอบ ฯ ตอบว่า เราประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความดับไม่มีเชื้อ ฯ |
๑๗. |
พระสาวกสาวิกาต่อไปนี้ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในทางใด ? ๑. พระอัญญาโกญทัญญะเถระ ๒. พระมหากัสสปะเถระ ๓. พระราธะเถระ ๔. พระอุบลวรรณาเถรี ๕. พระธัมมทินนาเถรี |
ต/ |
๑. พระอัญญาโกญทัญญะเถระ เป็นผู้เลิศในทางรัตตัญญู ๒. พระมหากัสสปะเถระ เป็นผู้เลิศในทางถือธุดงค์ ๓. พระราธะเถระ เป็นผู้เลิศในทางผู้มีปฏิภาณ ๔. พระอุบลวรรณาเถรี เป็นผู้เลิศในทางมีฤทธิ์ ๕. พระธัมมทินนาเถรี เป็นผู้เลิศในทางธรรมกถึก ฯ |
๑๘. | พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญพระสาวกองค์ใดว่า “ไม่ทำศรัทธาและโภคทรัพย์ของตระกูลให้เสีย” ? และทรงอุปมาเปรียบเทียบว่าอย่างไร ? |
ต/ |
ทรงสรรเสริญพระโมคคัลลานะ ฯ ทรงอุปมาว่า “ประหนึ่งแมลงผึ้งอันเที่ยวไปในสวนดอกไม้ ไม่ทำ สีและกลิ่นของดอกไม้ให้ช้ำ ถือเอาแต่รสบินไป ฉะนั้น” ฯ |
๑๙. | “สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่ข้าพเจ้า ๆ ไม่ชอบใจหมด” เป็นคำพูดของใคร ? พระพุทธองค์ตรัสตอบว่าอย่างไร ? |
ต/ |
เป็นคำพูดของ ทีฆนขะ อัคคิเวสสนโคตร ฯ ตรัสตอบว่า ถ้าอย่างนั้น ความเห็นอย่างนั้น ก็ต้องไม่ควรแก่ท่าน ท่านก็ต้องไม่ชอบความเห็นอย่างนั้น ฯ |
๒๐. | พระพุทธโอวาท ๓ ข้อ ที่ทรงประทานแก่พระมหากัสสปะ ว่าอย่างไรบ้าง ? |
ต/ |
พระโอวาท ๓ ข้อว่าดังนี้ ๑. กัสสปะ ท่านพึงศึกษาว่า เราจักเข้าไปตั้งความละอายและความยําเกรงไว้ในภิกษุทั้งที่เป็นผู้เฒ่า ทั้งที่เป็นผู้ใหม่ ทั้งที่เป็นปานกลางอย่างแรงกล้า ๒. เราจักฟังธรรม อันใดอันหนึ่งซึ่งประกอบด้วยกุศล เราจักเงี่ยโสตฟังธรรมนั้น พิจารณาเนื้อความ ๓. เราจักไม่ละสติที่ไปในกาย คือ พิจารณากายเป็นอารมณ์ ฯ |
๒๑. | พระพุทธพจน์ว่า “ภทฺเทกรตฺโต” ผู้มีราตรีเดียวอันเจริญ หมายถึง การปฏิบัติอย่างไร ? พระสาวกรูปใดอธิบายพระพุทธพจน์นี้ ? |
ต/ |
หมายถึง เป็นผู้มีความเพียร ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวัน และกลางคืน อยู่ด้วยความไม่ประมาท ฯ พระมหากัจจายนะ อธิบายพระพุทธพจน์นี้ฯ |
๒๒. | ปัญหาว่า “โลกคือหมู่สัตว์อันอะไรปิดบังไว้จึงหลงดุจอยู่ในที่มืด” ดังนี้ใครเป็นผู้ถาม ? ได้รับคําพยากรณ์ว่าอย่างไร ? |
ต/ |
อชิตมาณพเป็นผู้ถาม ฯ ได้รับการพยากรณ์ว่า โลกคือหมู่สัตว์ อันอวิชชาคือความไม่รู้แจ้งปิดบังไว้ จึงหลงดุจอยู่ในที่มืด ฯ |
๒๓. | พระสาวกที่มักเปล่งอุทานเนือง ๆ ว่า “สุขหนอ สุขหนอ” ดังนี้ คือใคร ? ท่านเปล่งอุทานเช่นนี้ เพราะอะไร ? |
ต/ |
พระสาวกท่านนี้คือ พระภัททิยะ เพราะเมื่อก่อนท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ต้องจัดการรักษาป้องกันทั้งในวังนอกวัง ทั้งในเมืองนอกเมือง จนตลอดทั่วอาณาเขต แม้มีคนคอยรักษาอย่างนี้แล้ว ยังต้องหวาดระแวงสะดุ้งกลัวอยู่เป็นนิตย์ ครั้นทรงออกบวชได้บรรลุอรหัตผลแล้ว แม้อยู่ในที่ไหนๆ ก็ไม่หวาดระแวง ไม่สะดุ้งกลัว ไม่ต้องขวนขวาย มีใจปลอดโปร่ง เป็นอิสระแก่ตน จึงเปล่งอุทานเช่นนั้น ฯ |
๒๔. | อาสยะ และ ปโยคะ ในสัตตูปการสัมปทา หมายถึงอะไร ? |
ต/ |
อาสยะ หมายถึง ความมีพระหฤทัยเยือกเย็น ด้วยความกรุณาปรารถนาคุณประโยชน์อยู่เป็นนิตย์ แม้ในบุคคลที่ทําผิดต่อพระองค์ มีพระเทวทัตเป็นต้น ก็ยังทรงกรุณา ฯ ปโยคะ หมายถึง ความมีพระหฤทัยมิได้มุ่งหวังต่ออามิส เทศนาสั่งสอนสัตว์ ด้วยข้อปฏิบัติ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ฯ |
๒๕. | ธรรมุเทศ ๔ ข้อ ที่พระรัฐบาลแสดงแก่พระเจ้าโกรัพยะ มีใจความว่าอย่างไรบ้าง ? |
ต/ |
มีใจความว่า ๑. โลกคือหมู่สัตว์ อันชราเป็นผู้นํา นําเข้าไปใกล้ ไม่ยั่งยืน ๒. โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่จําเพาะตน ๓. โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีอะไรเป็นของตน จําต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไป ๔. โลกคือหมู่สัตว์ พร่องอยู่เป็นนิตย์ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา ฯ |
๒๖. | พระอานนท์พุทธอุปัฏฐากได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่าเลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ด้วยคุณสมบัติอะไรบ้าง ? |
ต/ |
ด้วยคุณสมบัติ ๕ ประการ คือ ๑. เป็นพหูสูต ๒. มีสติ ๓. มีคติ ๔. มีธิติ ๕. เป็นพุทธอุปัฏฐาก ฯ |
๒๗. | การอุปสมบทสำหรับพระภิกษุในครั้งพุทธกาลมีทั้งหมดกี่วิธี ? อะไรบ้าง ? ในปัจจุบันใช้วิธีใด ? |
ต/ |
มี ๓ วิธี ฯ คือ ๑) เอหิภิกขุอุปสัมปทา ๒) ติสรณคมนูปสัมปทา ๓) ญัตติจตุตถกรรมอุปสัมปทา ฯ ปัจจุบันใช้วิธี ญัตติจตุตถกรรมอุปสัมปทา ฯ |
๒๘. | ปาวาลเจดีย์และมกุฏพันธนเจดีย์มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าอย่างไร ? |
ต/ |
ปาวาลเจดีย์ เป็นที่ทรงปลงพระชนมายุสังขาร ฯ มกุฏพันธนเจดีย์ เป็นที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ฯ |
๒๙. | ถูปารหบุคคล คือใคร ? มีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? |
ต/ |
ถูปารหบุคคล คือ บุคคลผู้ควรแก่การบรรจุอัฐิธาตุไว้ในสถูปเพื่อสักการะบูชา ฯ มี ๔ ประเภท ฯ คือ ๑) พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒) พระปัจเจกพุทธเจ้า ๓) พระอรหันตสาวก ๔) พระเจ้าจักรพรรดิราช ฯ |
๓๐. | พระมหากัสสปะเถระชักชวนภิกษุทั้งหลายให้ทำสังคายนาครั้งแรก เพราะปรารภเหตุอะไร ? |
ต/ |
เพราะปรารภเหตุ ๒ ประการ คือ ๑. ระลึกถึงคำของสุภัททวุฑฒบรรพชิตกล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัย ๒. ระลึกถึงอุปการคุณของพระพุทธเจ้าที่มีอยู่แก่ตน ฯ |
๓๑. | สุภัททวุฑฒบรรพชิต กล่าวจาบจ้วงพระธรรมวินัยว่าอย่างไร ? และทำให้เกิดเหตุการณ์อะไรในกาลต่อมา ? |
ต/ |
กล่าวว่า “เราทั้งหลายได้พ้นเสียแล้วด้วยดีจากพระสมณะนั้น ด้วยท่านสั่งสอนว่า สิ่งนี้ควร สิ่งนี้ไม่ควร เราเกรงก็ต้องทำตาม เป็นความลำบากนัก ก็บัดนี้เราจะทำสิ่งใด หรือมิพอใจทำสิ่งใดก็ได้ตามความปรารถนา จะต้องเกรงแต่บัญชาของผู้ใดเล่า” ฯ เป็นเหตุให้เกิดสังคายนาพระธรรมวินัย ครั้งที่ ๑ ฯ |
๓๒. | การทำสังคายนาครั้งแรก เกิดขึ้นหลังจากปรินิพพานล่วงแล้วกี่เดือน ? ใช้เวลาเท่าไร ? ใครทำหน้าที่ปุจฉาและวิสัชนา ? |
ต/ |
เกิดขึ้นหลังจากปรินิพพานล่วงแล้ว ๓ เดือน ฯ ใช้เวลา ๗ เดือน ฯ พระมหากัสสปะทำหน้าที่ปุจฉา พระอุบาลีทำหน้าที่วิสัชนาพระวินัย พระอานนท์ทำหน้าที่วิสัชนาพระสูตร และพระอภิธรรม ฯ |