เก็งข้อสอบนักธรรมชั้นเอก - วิชาพุทธะ [พระเณร]

<h1>เก็งข้อสอบวิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก,แนวข้อสอบนักธรรมชั้นเอก,แนวข้อสอบวิชาพุทธานุพุทธประวัติ</h1>



ดาวน์โหลด หรือเปิดอ่านแบบ PDF




เก็งข้อสอบวิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก
{getButton} $text={ชมพูทวีป} $color={#009933}
๑. พุทธานุพุทธประวัติ ให้ความรู้แก่ผู้ศึกษาทางใดบ้าง ? จงอธิบายพอได้ใจความ
๑. ทางประวัติศาสตร์ เช่น ความเป็นไปของบ้านเมืองในครั้งพุทธกาลและลัทธิธรรมเนียมของประชาชนในสมัยนั้น
๒. ทางจรรยาของพระพุทธเจ้า และจรรยาของเหล่าพระอริยสาวก
๓. ทางธรรมวินัยที่ปรากฎในตำนาน และความเป็นมาแห่งศาสนธรรมพร้อมทั้งตัวอย่างการบำรุงพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง ฯ
๒. ในวันที่พระมหาบุรุษประสูติ มีสหชาติที่เกิดพร้อมกันกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?
มี ๗ อย่าง คือ ๑.พระนางพิมพา ๒.พระอานนท์ ๓.กาฬุทายีอำมาตย์ ๔.ฉันนะอำมาตย์ ๕.ม้ากัณฐกะ ๖.ต้นมหาโพธิ์ ๗.ขุมทรัพย์ทั้ง ๔ ฯ
๓. พระวาจาที่พระมหาบุรุษทรงเปล่งครั้งแรก เรียกว่าอะไร ? มีใจความว่าอย่างไร ?
เรียกว่า อาสภิวาจา ฯ มีใจความว่า "เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก เราเป็นผู้เจริญแห่งโลก เราเป็นผู้ประเสริฐแห่งโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ภพใหม่ไม่มีแก่เรา" ฯ
๔. มหาปุริสลักษณะมีกี่ประการ ? พระอุณณาโลมกับพระอุณหิสต่างกันอย่างไร ?
มี ๓๒ ประการ ฯ พระอุณณาโลม ได้แก่ พระโลมา (ขน) ที่ขาวละเอียดอ่อนคล้ายสำลี อยู่ในระหว่างพระโขนง (คิ้ว) ส่วนพระอุณหิส (กรอบหน้า) นั้น ได้แก่พระเศียร (หัว) ที่กลมเป็นปริมณฑลดุจประดับด้วยกรอบพระพักตร์ (หน้า) ฯ
๕. ศากยวงศ์สืบเชื้อสายมาจากใคร ? ที่ได้นามว่า ศากยะ เพราะเหตุไร ?
สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าโอกกากราช ฯ
ที่ได้นามว่า ศากยะ เพราะเหตุ ๒ ประการ คือ
๑. เพราะได้ชื่อตามชนบทที่ตั้ง
๒. เพราะมีความกล้าหาญ สามารถตั้งเมืองได้เอง ฯ


{getButton} $text={เสด็จบรรพชาและตัสรู้} $color={#009933}
๑. สตานุสารีวิญญาณ คืออะไร ? เกิดขึ้นแก่มหาบุรุษ ความว่าอย่างไร ?
คือ วิญญาณไปตามสติ ฯ ความว่า ทุกรกิริยานี้ จักไม่เป็นทางเพื่อการตรัสรู้ แต่อานาปานสติปฐมฌาน จักเป็นทางเพื่อการตรัสรู้แน่ ฯ
๒. พระพุทธองค์ทรงอธิษฐานจาตุรงคมหาปธาน มีใจความว่าอย่างไร ? ที่ไหน ? และได้รับผลอย่างไร ?
มีใจความว่า หากยังไม่บรรลุไม่สัมมาสัมโพธิญาณแล้วจักไม่ลุกขึ้น แม้เนื้อและเลือดจะแห้งเหือดไป เหลือแต่หนัง เอ็น และกระดูกก็ตาม ฯ
ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ฯ
ได้รับผลคือ บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณสมดังพระหฤทัย ฯ
๓. พระพุทธเจ้าหลังจากได้ตรัสรู้แล้ว ทรงเปล่งอุทานในยามสุดท้ายว่าอย่างไร ?
ทรงเปล่งอุทานว่า เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฎแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้นพราหมณ์นั้น ย่อมกำจัดมารและเสนามารเสียได้ ดุจพระอาทิตย์อุทัยกำจัดมืดให้สว่างฉะนั้น ฯ
๔. ที่สุดโต่งอันบรรพชิตไม่ควรเสพคืออะไรบ้าง ? ที่สุดโต่งนั้นมีโทษอย่างไร ?
ที่สุดโต่งคือ ๑.กามสุขัลลิกานุโยค ๒.อัตตกิลมถานุโยค ฯ มีโทษอย่างดังนี้
กามสุขัลลิกายุโยค คือ การประกอบตนให้พัวพันด้วยสุขในกาม เป็นธรรมอันเลว เป็นเหตุตั้งบ้านเรือน เป็นของคนมีกิเลสหนา ไม่ใช่ของคนอริยะคือผู้บริสุทธิ์ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
อัตตกิลมถานุโยค คือ การประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตนเปล่า ให้เกิดทุกข์แก่ผู้ประกอบ ไม่ทำผู้ประกอบให้เป็นอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโชน์ ฯ
๕. พระมหาบุรุษทรงทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตายแล้ว ทรงบรรเทาความเมาในอะไรได้ ฯ
ทรงบรรเทาความเมาในวัย ความเมาในความไม่มีโรค และความเมาในชีวิต ฯ


{getButton} $text={เสวยวิมุตติสุข} $color={#009933}
๑. ขณะเสวยวิมุตติสุขใต้ร่มไม้มหาโพธิ์ พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาธรรมอะไร ? และธรรมนั้นมีใจความย่อว่าอย่างไร ?
ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท ฯ
มีใจความย่อว่า สภาวะอย่างหนึ่งเป็นผลเกิดแต่เหตุอย่างหนึ่งแล้ว ซ้ำเป็นเหตุยังผลอย่างอื่นให้เกิดต่อไปอีก เหมือนลูกโซ่เกี่ยวคล้องกันเป็นสาย ฯ
๒. พระพุทธเจ้าทรงปฏิญาณว่า เป็นสัมมาสัมพุทธะ เพราะทรงอาศัยเหตุอะไร ?
ทรงอาศัยเหตุที่ตรัสรู้อริยสัจ ๔ อันมีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อย่างแจ่มแจ้งครบถ้วนทุกประการ จึงทรงปฏิญาณว่า เป็นสัมมาสัมพุทธะ ฯ
๓. อนิมิสเจดีย์และรัตนจงกรมเจดีย์ เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงกระทำกิจอะไร ?
อนิมิสเจดีย์ เป็นสภาพที่ที่พระพุทธเจ้าประทับยืนจ้องดูต้นพระมหาโพธิ์โดยมิได้กระพริบพระเนตรตลอด ๗ วัน
รัตนจงกรมเจดีย์ เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงนิรมิตที่จงกรมขึ้นแล้วเสด็จจงกรม ณ ที่นั้นถ้วน ๗ วัน ฯ
๔. ขณะที่ทรงเสวยวิมุตติสุข ณ รัตนฆรเจดีย์ ทรงพิจารณาธรรมอะไร ?
ทรงพิจารณาพระอภิธรรม ฯ
๕. ปฏิจจสมุปบาทคืออะไร ? ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท ที่ทรงกำหนดรู้แล้วนั้นอย่างไร ? ณ สถานที่ใด ?
ปฏิจจสมุปบาท คือ สภาพอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น ฯ ทรงพิจารณาตามลำดับและถอยกลับทั้งข้างเกิดข้างดับตลอดยาม ๓ แห่งราตรี ฯ ณ ภายใต้ร่มไม้มหาโพธิ์ ฯ
๖. ดวงตาเห็นธรรมเกิดขึ้นแก่พระโกณฑัญญะ ความว่าอย่างไร ? ในขณะนั้นท่านเป็นพระอริยบุคคลชั้นไหน ?
ความว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา ฯ เป็นพระอริยบุคคลชั้นพระโสดาบัน ฯ
๗. ภัพพบุคคลและอภัพพบุคคล ที่ท่านเปรียบกับดอกบัว ๔ เหล่า คือบุคคลประเภทใดบ้าง ?
ภัพพบุคคล คือ บุคคลผู้สามารถจะตรัสรู้ธรรมได้ ได้แก่
อุคฆติตัญญูที่เปรียบด้วยดอกบัวพ้นน้ำ
วิปจิตัญญูที่เปรียบด้วยดอกบัวเสมอน้ำ
และเนยยะที่เปรียบด้วยดอกบัวที่ยังอยู่ในน้ำ
ส่วนอภัพพบุคคล คือบุคคลผู้ไม่สามารถจะตรัสรู้ธรรมได้ ได้แก่
ปทปรมะที่เปรียบด้วยดอกบัวที่เป็นภักษาหารแห่งปลาและเต่า ฯ
๘. พุทธจักษุ กับธรรมจักษุ ต่างกันอย่างไร ? แต่ละอย่างใครได้เป็นคนแรก ?
พุทธจักษุ คือจักษุของพระพุทธเจ้า หมายถึงพระปัญญาของพระพุทธองค์ที่ทรงพิจารณาเห็นอุปนิสัยแห่งเวไนยสัตว์ ส่วนธรรมจักษุ คือดวงตาเห็นธรรม ได้แก่ โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค ที่เกิดขึ้นแก่ผู้ฟังธรรม ฯ
พุทธจักษุเป็นคุณสมบัติเฉพาะของพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงทรงได้เป็นพระองค์แรกและพระองค์เดียว ส่วนธรรมจักษุพระอัญญาโกณฑัญญะได้เป็นองค์แรก ฯ


{getButton} $text={ประทานเอหิภิกขุอุปสมัปทา} $color={#009933}
๑. อนุปุพพีกถาและสามุกกังสิกธรรม คืออะไร ? ทรงแสดงแก่บุคคลผู้มีองคสมบัติอะไร ?
อนุปุพพีกถา คือ ถ้อยคำที่กล่าวเรียงเรื่องเป็นลำดับไป คือ ทานกถา สีลกถา สัคคกถา กามาทีนวกถา เนกขัมมานิสังสกถา
สามุกกังสิกธรรม คือ ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงยกขึ้นแสดงเอง ได้แก่อริยสัจ ๔ ฯ
ผู้มีองคสมบัติ คือ ๑.เป็นมนุษย์ ๒.เป็นคฤหัสถ์ ๓.มีอุปนิสัยแก่กล้า ควรบรรลุโลกุตรคุณในที่นั้น ฯ
๒. ปฐมสาวกกับปัจฉิมสาวก คือใคร ? ได้ฟังพระธรรมเทศนาครั้งว่าด้วยเรื่องอะไร ?
ปฐมสาวก คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ ฟังพระธรรมเทศนาว่าด้วยเรื่องที่สุด ๒ อย่าง และมัชฌิมาปฏิปทา ฯ
ปัจจฉิมสาวก คือ สุภัททปริพาชก ฟังพระธรรมเทศนาว่าด้วยเรื่องพระอริยบุคคลทั้ง ๔ ประเภท มีอยู่เฉพาะในธรรมวินัยที่มีมรรคมีองค์ ๘ ฯ
๓. ยสกุลบุตรฟังธรรมอะไรจากพระพุทธองค์ จนบรรลุเป็นพระอรหันต์ ? จงบอกมาตามลำดับตั้งแต่ต้น ?
ฟังอนุปุพพีกถาและอริยสัจ๔ ๒ ครั้ง คือ ครั้งที่ ๑ บรรลุเป็นพระโสดาบัน ครั้งที่ ๒ บรรลุเป็นพระอรหันต์ ?
๔. อนัตตลักขณสูตร และอาทิตตปริยายสูตร มีใจความย่อว่าอย่างไร ?
อนัตตลักขณสูตร มีใจความโดยย่อว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งรวมเรียกว่า ขันธ์ ๕ นี้ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตน ฯ
อาทิตตปริยายสูตร มีใจความโดยย่อว่า อายตนะภายใน อายตนะภายนอก วิญญาณสัมผัส และเวทนาที่เกิดแต่สัมผัส เป็นของร้อน ร้อนเพราะไฟ คือ ราคะ โทสะ โมหะ และร้อนเพราะความเกิด ความแก่ ความตาย ความโศก ร่ำไรรำพัน เจ็บกาย เสียใจ คับใจ ฯ


{getButton} $text={ประกาศพระศาสนา} $color={#009933}
๑. พระพุทธองค์ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาที่ไหนเป็นแห่งแรก ? ทรงเห็นประโยชน์อะไร ?
ที่กรุงราชคฤห์ ฯ เพราะทรงเห็นว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่บริบูรณ์มั่งคั่ง และมีศาสดาเจ้าลัทธิมาก ถ้าได้โปรดคนเหล่านี้ให้เกิดความเลื่อมใสได้แล้ว การเผยแผ่พระพุทธศาสนา ก็สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะศาสดาเจ้าลัทธิต่างๆ นั้นล้วนมีคนนับถือมาก ด้วยเหตุนี้จึงทรงเลือกเมืองนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนาเป็นแห่งแรก ฯ
๒. พระอรหันตสาวก ๑๐ องค์แรกคือใครบ้าง ? มีท่านใดได้รับเอตทัคคะบ้าง ? เป็นเอตทัคคะในทางไหน ?
คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ พระอัสสชิ พระยสะ พระวิมละ พระสุพาหุ พระปุณณชิ และพระควัมปติ ฯ
มีพระอัญญาโกณฑัญญะรูปเดียว ฯ ในทางรัตตัญญู ผู้รู้ราตรีนาน ฯ
๓. พระเจ้าพิมพิสาร ตั้งความปรารถนาไว้อย่างไรบ้าง ?
ได้ตั้งความปรารถนาไว้ว่า
๑. ขอให้ข้าพระเจ้าได้รับอภิเษกเป็นพระเจ้าแผ่นมคธนี้เถิด
๒. ขอให้ท่านผู้เป็นพระอรหันต์ผู้รู้เองโดยชอบ พึงมายังแว่นแคว้นของข้าพระเจ้าผู้ได้รับอภิเษกแล้ว
๓. ขอให้ข้าพเจ้าพึงได้เข้าไปนั่งใกล้พระอรหันต์นั้น
๔. ขอพระอรหันต์นั้น พึงแสดงธรรมแก่ข้าพเจ้า
๕. ขอข้าพเจ้าพึงรู้ทั่วถึงธรรมของพระอรหันต์นั้น ฯ
๔. พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดพุทธบริษัทด้วยอาการ ๔ อย่าง อะไรบ้าง ?
ด้วยอาการดังนี้ ฯ
๑. สันทัสสนา อธิบายให้แจ่มแจ้งให้เข้าใจชัด
๒. สมาทาปนา ชวนให้มีแก่ใจสมาทานคือทำตาม
๓. สมุตเตชนา ชักนำให้เกิดอุตสาหะอาจหาญเพื่อจะทำ
๔. สัมปหังสนา พยุงให้ร่าเริงในอันทำ ฯ


{getButton} $text={พระอัครสาวกออกบวช} $color={#009933}
๑. พระพุทธเจ้าทรงยกย่องพระอัครสาวกทั้ง ๒ ว่าเป็นผู้มีปัญญาอนุเคราะห์สพรหมจารีทั้งหลาย มีอุปมาต่างกันอย่างไร ?
มีอุปมาต่างกันอย่างนี้
พระสารีบุตรเถระเปรียบเหมือนมารดาผู้ให้บุตรเกิด ย่อมแนะนำให้กุลบุตรตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล
พระโมคคัลลานะเถระเปรียบเหมือนนางนมผู้เลี้ยงทารกผู้เกิดแล้วนั้น ย่อมแนะนำให้กุลบุตรตั้งอยู่ในคุณเบื้องสูงกว่านั้น ฯ
๒. ท่านประพฤติพรหมจรรย์เพื่ออะไร ใครเป็นผู้ถาม ใครเป็นผู้ตอบ ? ตอบว่าอย่างไร ?
พระสารีบุตรเป็นผู้ถาม พระปุณณมันตานีบุตรเป็นผู้ตอบ ฯ ตอบว่า เราประพฤติพรหมจรรย์เพื่อความดับไม่มีเชื้อ ฯ
๓. พระอัสสชิเถระแสดงธรรมโดยย่อแก่อุปติสสปริพาชก ความว่าอย่างไร ? และได้ผลอย่างไร ?
มีความว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุของธรรมนั้นและความดับแห่งธรรมนั้น พระศาสดาทรงสั่งสอนอย่างนี้ ฯ
ได้ผลคือ อุปติสสปริพาชกฟังแล้ว ได้ธรรมจักษุ ดวงตาเห็นธรรม ฯ
๔. คำว่า "สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ชอบใจหมด" เป็นคำพูดของใคร ? พระพุทธองค์ตรัสตอบว่าอย่างไร ?
เป็นคำพูดของ ทีฆนขะ อัคคิเวสสนโคตร ฯ พระองค์ตรัสตอบว่า ถ้าอย่างนั้น ความเห็นอย่างนั้น ก็ต้องไม่ควรแก่ท่าน ท่านก็ต้องไม่ชอบความเห็นอย่างนั้น ฯ
๕. พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญพระสาวกองค์ใดว่า “ไม่ทำศรัทธาและโภคทรัพย์ของตระกูลให้เสีย” และทรงอุปมาเปรียบเทียบว่าอย่างไร ?
ทรงสรรเสริญพระโมคคัลลานะ ฯ
ทรงอุปมาเปรียบเทียบว่า “ประหนึ่งแมลงผึ้งอันเที่ยวไปในสวนดอกไม้ ไม่ทำสีและกลิ่นของดอกไม้ให้ช้ำ ถือเอาแต่รสบินไป ฉะนั้น”
๖. การที่พระสารีบุตรมีชื่อเสียงว่าเป็นผู้กตัญญูกตเวทีนั้น มีหลักฐานอะไรเป็นตัวอย่างจงแสดงมาสัก ๒ เรื่อง ?
เรื่องที่ ๑ ท่านได้ฟังคำสอนจากพระอัสสชิโดยย่อจนได้ดวงตาเห็นธรรม เมื่อทราบว่า พระอัสสชิอยู่ทางทิศใด เวลาจะนอนก็หันศรีษะไปทางทิศนั้นด้วยความเคารพ ฯ
เรื่องที่ ๒ ท่านระลึกถึงอุปการะที่รับบิณฑบาตจากราธพราหมณ์เพียง ๑ ทัพพี จึงรับเป็นภาระในการจัดการอุปสมบทตามความประสงค์ ฯ
๗. พระมหากัสสปเถระประพฤติธุดงควัตรเพราะเห็นอำนาจประโยชน์อย่างไร ?
เพราะเห็นอำนาจประโยชน์ ๒ อย่าง คือ
๑. การอยู่เป็นสุขในบัดนี้ของตน
๒. เพื่ออนุเคาระห์ประชุมชนในภายหลัง จะได้เป็นทิฏฐานุคติแห่งคนผู้มาเกิดในภายหลัง เมื่อทราบว่า สาวกของพระพุทธเจ้าได้ประโชน์อย่างนี้ เขาจะได้ประพฤติตามซึ่งเป็นทางอำนวยสุขแก่เขาเอง ฯ
๘. พระมหากัสสปะ ออกบวชเพราะมีความเห็นอย่างไร ?
เพราะคิดเห็นว่า ผู้อยู่ครองเรือนตั้งคอยนั่งรับบาป เพราะการงานที่ผู้อื่นทำไม่ดี มีใจเบื่อหน่าย จึงละสมบัติแล้วออกบวช ฯ
๙. พระพุทธโอวาท ๓ ข้อ ที่ทรงประธานแก่พระมหากัสสปะว่าอย่างไร ? จัดเข้าในการอุปสมบทวิธีใด ?
พระโอวาท ๓ ข้อว่าดังนี้
๑. เราจักเข้าไปตั้งความละอาย และความยำเกรงอย่างแรงกล้าไว้ในภิกษุทั้งที่เป็นผู้เฒ่า ทั้งที่เป็นเถระปานกลาง และผู้ใหม่อย่างแรงกล้า
๒. เราจักเงี่ยหูลงฟังธรรม อันประกอบด้วยกุศล และพิจารณาเนื้อความแห่งธรรมนั้น
๓. เราจักไม่ละสติที่ไปในกาย คือพิจารณาร่างกายเป็นอารมณ์ ฯ
จัดเข้าในเอหิภิกขุอุปสมบทวิธี ฯ
๑๐. พระรัฐบาล ออกบวชเพราะมีความคิดเห็นอย่างไร ?
พระรัฐบาล ออกบวชเพราะมีความคิดเห็นตามธรรมุเทศ ๔ ข้อที่พระศาสดาทรงแสดงว่า
๑. โลกคือหมู่สัตว์ อันชราเป็นผู้นำเข้าไปใกล้ ไม่หยั่งยืน
๒. โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่จำเพราะตน
๓. โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีอะไรเป็นของๆ ตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไป
๔. โลกคือหมู่สัตว์ พร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา ฯ
๑๑. อนาถบิณฑิกเศรษฐี มีนามเดิมว่าอะไร ? ได้บรรลุคุณวิเศษอะไรในพระพุทธศาสนา ? ที่ไหน ?
มีนามเดิมว่า สุทัตตะ ฯ ได้บรรลุโสดาปัตติผล ฯ ที่เมืองราชคฤห์ ฯ


{getButton} $text={มาณพ ๑๖ คน} $color={#009933}
๑. ปัญหาว่า "โลกคือหมู่สัตว์ อันอะไรปิดบังไว้ จึงหลงดุจอยู่ในที่มืด" ดังนี้ใครเป็นผู้ถาม ? ได้รับคำพยากรณ์ว่าอย่างไร ?
อชิตมาณพเป็นผู้ถาม ฯ ได้รับการพยากรณ์ว่า โลกคือหมู่สัตว์ อันอวิชชาคือความไม่รู้แจ้งปิดบังไว้ จึงหลงดุจอยู่ในที่มืด ฯ


{getButton} $text={ญัตติจตุตถกรรมวาจา} $color={#009933}
๑. การอุปสมบทสำหรับพระภิกษุในครั้งพุทธกาล มีทั้งหมดกี่วิธี ? อะไรบ้าง ? ในปัจจุบันใช้วิธีไหน ?
มี ๓ วิธี ฯ คือ
๑. เอหิภิกขุอุปสัมปทา
๒. ติสรณคมนูปสัมปทา
๓. ญัตติจตุตถกรรมอุปสัมปทา ฯ
ปัจจุบันใช้ญัตติจตุตถกรรมอุปสัมปทา ฯ
๒. การอุปสมบทด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา พระสาวกผู้เป็นอุปัชฌายะ และเป็นสัทธิวิหารริกรูปแรก คือใคร ?
พระสารีบุตร เป็นอุปัชฌายะรูปแรก ฯ พระราธะ เป็นสัทธิวิหาริกรูปแรก ฯ
๓. พระพุทธเจ้าตรัสสอนพระราธะว่า “สิ่งใดเป็นมาร ท่านจงละความกำหนัดพอใจในสิ่งนั้นเสีย” มารในที่นี้หมายถึงอะไร ?
มาร ในที่นี้หมายถึง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ฯ


{getButton} $text={ศากยวงศ์ออกบวช} $color={#009933}
๑. อนุรุทธศากยะออกบวชเพราะมูลเหตุอะไร ?
เพราะมูลเหตุจากการที่อนุรุทธศากยะเป็นพระญาติของพระพุทธเจ้า ซึ่งควรออกบวชตามพระพุทธเจ้าอย่างที่เจ้าศากยะองค์อื่นผู้มีชื่อเสียงได้กระทำกัน และครั้นเมื่อได้ฟัง คำพูดของพระมหานามศากยะผู้พี่ว่า การงานของผู้อยู่ครองเรือนไม่มีสิ้นสุด ที่สุดของการงานไม่มีปรากฎ จึงตัดสินใจให้พี่อยู่ครองเรือนส่วนตนออกบวช ฯ
๒. พระปุณณมันตานีบุตรเป็นชาวเมืองไหน ? ตั้งอยู่ในคุณธรรมอะไรบ้าง ?
เป็ชาวเมืองกบิลพัสดุ์ ฯ ตั้งอยู่ในคุณธรรม ๑๐ ประการ คือ มักน้อย สันโดษ ชอบสงัด ไม่ชอบเกี่ยวข้องด้วยหมู่ ปรารภความเพียร บริบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ ความรู้เห็นในวิมุตติ ฯ
๓. อาสยะ และ ปโยคะ ในสัตตูปการสัมปทา หมายถึงอะไร ?
อาสยะ หมายถึง ความมีพระหฤทัยเยือกเย็นด้วยความกรุณา ปรารถนาคุณประโยชน์อยู่เป็นนิตย์ แม้ในบุคคลที่ทำผิดต่อพระองค์มีพระเทวทัตเป็นต้น ก็ยังทรงกรุณา ฯ
ปโยคะ หมายถึง ความมีพระหฤทัยมิได้มุ่งหวังต่ออามิส เทศนาสั่งสอนสัตว์ด้วยข้อปฏิบัติ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ฯ


{getButton} $text={ก่อนปรินิพพาน} $color={#009933}
๑. ถูปารหบุคคล คือใคร ? มีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ?
บุคคลผู้ควรแก่การสร้างสถูปไว้ประดิษฐาน ฯ มี ๔ ประเภท ฯ คือ
๑. พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
๒. พระปัจเจกพุทธเจ้า
๓. พระอรหันตสาวก
๔. พระเจ้าจักรพรรดิราช ฯ
๒. อายุสังขาราธิษฐาน กับ การปลงอายุสังขาร หมายถึงอะไร ? พระพุทธเจ้าทรงกระทำที่ไหน ?
อายุสังขาราธิษฐาน หมายถึง การที่พระพุทธเจ้าทรงตั้งพระหฤทัยว่า จักดำรงพระชนม์อยู่แสดงธรรมสั่งสอนมหาชน จนกว่าพุทธบริษัทจะตั้งมั่น และได้ประกาศพระศาสนาให้แพร่หลาย มั่งคงสำเร็จประโยชน์แก่มหาชน ฯ ทรงกระทำที่อชปาลนิโครธ ใกล้สถานที่ตรัสรู้ ฯ
การปลงอายุสังขาร หมายถึง การที่พระพุทธเจ้าทรงกำหนดวันปรินิพพาน นับแต่วันเพ็ญเดือน ๓ ไปอีก ๓ เดือน ฯ
ที่ปาวาลเจดีย์ เมืองไพศาลี ฯ
๓. พุทธเจดีย์มีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? พระพุทธรูปสงเคราะห์เข้าในเจดีย์ประเภทใด ?
มี ๔ ประเภท ฯ
คือ ธาตุเจดีย์ บริโภคเจดีย์ ธรรมเจดีย์ และอุทเทสิกเจดีย์ ฯ
สงเคราะห์เข้าในอุทเทสิกเจดีย์ ฯ
๔. พระพุทธองค์ทรงเลือกเมืองกุสินารา เป็นสถานที่เสด็จดับขันธปรินิพพาน ด้วยเหตุผลอันใด ?
ด้วยเหตุผล ๓ ประการ คือ
๑. จะเป็นเหตุเกิดแห่งมหาสุทัสสนสูตร
๒. จะได้โปรดสุภัททปริพาชก ผู้เป็นพุทธเวไนย
๓. จะได้ป้องกันการรบกันครั้งใหญ่เพื่อแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุ ฯ
๕. อภิญญาเทสิตธรรม มีอะไร ? ทรงแสดงแก่ใคร ? ที่ไหน ?
มี สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ ฯ
ทรงแสดงแก่ภิกษุสงฆ์ผู้อาศัยอยู่ในเมืองเวสาลี ฯ
ที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ฯ


{getButton} $text={หลังปรินิพพาน} $color={#009933}
๑. หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระสาวดองค์ใดเป็นประธานในการทำปฐมสังคายนา เพราะปรารภเหตุใด ?
พระมหากัสสปะ ฯ
เพราะปรารภคำกล่าวจาบจ้วงพระธรรมวินัยของพระสุภัททะ ผู้บวชตอนแก่ ในระหว่างเดินทางมาสักการะพระพุทธสรีระ ฯ
๒. พระมหากัสสปะชักชวนภิกษุทั้งหลายให้ทำสังคายนาครั้งแรก เพราะปรารภเหตุอะไร ?
เพราะปรารภเหตุ ๒ ประการ คือ
๑. ระลึกถึงคำของสุภัททวุฑฒบรรพชิตกล่าวจาบจ้วงพระธรรมวินัย
๒. ระลึกถึงอุปการคุณของพระผู้มีพระภาคที่มีอยู่แก่ตน ฯ
๓. สุภัททวุฑฒบรรพชิต กล่าวจาบจ้วงพระธรรมวินัยว่าอย่างไร ? และทำให้เกิดเหตุการณ์อะไรในกาลต่อมา ?
กล่าวว่า "เราทั้งหลายได้พ้นเสียแล้วด้วยดีจากพระสมณะนั้น ด้วยท่านสั่งสอนว่า สิ่งนี้ควร สิ่งนี้ไม่ควร เราเกรงก็ต้องทำตาม เป็นความลำบากนัก ก็บัดนี้เราจะทำสิ่งใดหรือมิพอใจทำสิ่งใดตามความปรารถนา จะต้องเกรงแต่บัญชาของผู้ใดเหล่า" ฯ
เป็นเหตุให้เกิดสังคายนาพระธรรมวินัย ครั้งที่ ๑ ฯ
๔. ในการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ พระพุทธสรีระส่วนใดยังคงเหลืออยู่ ?
พระอัฐิ พระเกสา พระโลมา พระนขา พระทันตา เหลืออยู่ นอกนั้นถูกเพลิงไหม้หมดสิ้น ฯ
๕. การทำสังคายนาครั้งแรกเกิดขึ้นหลังจากปรินิพพานแล้วกี่เดือน ? ใช้เวลาเท่าไร ? ใครทำหน้าที่ปุจฉาและวิสัชนา ?
พระองค์เสด็จปรินิพพานล่วงแล้ว ๓ เดือน ฯ ใช้เวลา ๗ เดือน ฯ
พระมหากัสสปะทำหน้าที่ปุจฉา พระอุบาลีทำหน้าที่วิสัชนาพระวินัย พระอานนท์ทำหน้าที่วิสัชนาพระสูตรและพระอภิธรรม ฯ
๖. พระมหากัสสปะ พระอุบาลี และพระอานนท์ องค์ใดนิพพานก่อนหรือหลังพระพุทธองค์ ? จงอ้างหลักฐานมาแสดง
นิพพานหลังพระพุทธองค์ทั้งหมด ฯ หลักฐาน คือ พระสาวกทั้ง ๓ องค์นั้นได้ร่วมประชุมสงฆ์ทำสังคายนาครั้งที่ ๑ หลังพุทธปรินิพพานได้ ๓ เดือน ฯ


แสดงความคิดเห็น

ใหม่กว่า เก่ากว่า
ADVERTISMENT