เก็งข้อสอบนักธรรมชั้นเอก - วิชาธรรม [พระเณร]
ดาวน์โหลด หรือเปิดอ่านแบบ PDF
๑. | นิพพิทาคืออะไร ? ปฏิปทาเครื่องดำเนินให้ถึงนิพพิทานั้นอย่างไร ? นิพพิทา คือ ความหน่ายในเบญจขันธ์ หรือในทุกข์ขันธ์ด้วยปัญญา ฯ อย่างนี้คือ พิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา ย่อมเกิดนิพพิทา เบื่อหน่ายในทุกขขันธ์ ไม่ เพลิดเพลินยึดมั่นหมกมุ่นอยู่ในสังขารอันยั่วยวนเสน่หา ฯ |
๒. | นิพพิทา คืออะไร ? บุคคลผู้ไม่ประสบลาภยศสรรเสริญสุข จึงเบื่อหน่ายระอา อย่างนี้จัดเป็นนิพพิทาได้หรือไม่ ? เพราะเหตุใด ? นิพพิทา คือ ความหน่ายในทุกข์ขันธ์ ฯ จัดเป็นนิพพิทาไม่ได้ ฯ เพราะความเบื่อหน่ายดังที่กล่าวนั้นเป็นความท้อแท้ มิใช่เป็นความหน่ายด้วยปัญญา ฯ |
๓. | พระพุทธเจ้าตรัสว่า "สูทั้งหลายจงมาดูโลกนี้อันตระการดุจราชรถ" ทรงมีพระพุทธประสงค์อย่างไร ? มีพระประสงค์เพื่อทรงชักชวนแนะนำให้ดูถึงคุณประโยชน์มิใช่ประโยชน์ เช่นเดียวกับดูละคร มิให้หลงชมความสวยงามต่างๆ แต่ให้เพ่งดูคติที่ดีและชั่ว มิให้มามัวไปตามสิ่งนั้น ดังที่ตรัสต่อไปอีกว่า ดังที่คนเขลาหมกอยู่ แต่ผู้รู้หาข้องอยู่ไม่ ฯ |
๔. | คนมีลักษณะอย่างไรชื่อว่า หมกอยู่ในโลก ? คนผู้ไร้วิจารณญาณไม่หยั่งเห็นโดยถ่องแท้ เพลิดเพลินในสิ่งอันให้โทษ ระเริงจนเกินพอดี ในสิ่งอันอาจให้โทษ ติดในสิ่งอันเป็นอุปการะจนถอนตนไม่ออก คนมี ลักษณะอย่างนี้ ย่อมได้รับสุขบ้างทุกข์บ้าง แม้สุขก็เป็นเพียงสามิสสุข สุขอันมีเหยื่อล่อใจ เป็นเหตุให้ติดดุจเหยื่อ อันเบ็ดเกี่ยวไว้ฉะนั้น ฯ |
๕. | ข้อว่า ผู้ใดจักระวังจิต ผู้นั้นจักพ้นจากบ่วงแห่งมาร ดังนี้ คำว่า "มารและบ่วงแห่งมาร" ได้แก่อะไร ? เพราะเหตุไรจึงชื่ออย่างนั้น ? คำว่า มาร ได้แก่ กิเลสกาม อันทำจิตให้เศร้าหมอง คือตัณหา ราคะ อรติ เป็นต้น ชื่ออย่างนั้นเพราะเป็นโทษล้างผลาญคุณความดีและทำให้เสียคน ฯ บ่วงแห่งมาร ได้แก่ วัตถุกาม คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ อันเป็นของน่าชอบใจ ชื่ออย่างนั้นเพราะเป็นอารมณ์เครื่องผูกใจให้ติด ฯ |
๖. | การสำรวมจิตให้พ้นจากบ่วงแห่งมาร ในหนังสือธรรมวิจารณ์ มีวิธีปฏิบัติอย่างไร ? แนะนำวิธีปฏิบัติไว้ ๓ ประการคือ ๑. สำรวมอินทรีย์มิให้ความยินดีครอบงำ ในเมื่อเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา ๒. มนสิการกัมมัฏฐานอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกามฉันทะ คือ อสุภะและกายคตาสติ หรืออันยังจิตให้สลด คือมรณัสสติ ๓. เจริญวิปัสสนา คือ พิจารณาสังขารแยกออกเป็นขันธ์ สันนิษฐานเห็นเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯ |
๗. | อนิจฺจตา ความไม่เที่ยงแห่งสังขาร กำหนดรู้ในทางง่ายได้ด้วยอาการอย่างไร ? ด้วยความเกิดขึ้นในเบื้องต้น และความสิ้นในเบื้องปลาย ฯ |
๘. | ลักษณะเช่นใดบ้าง เป็นเครื่องกำหนดให้รู้ว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ? จงอธิบาย ๑. กำหนดรู้ในทางง่าย ด้วยความเกิดขึ้นในเบื้องต้น และความสิ้นในเบื้องปลาย ๒. กำหนดรู้ในทางละเอียดกว่านั้น ด้วยความแปรในระหว่างงเกิดและดับ ๓. กำหนดรู้ในทางสุขุม ด้วยความแปรแห่งสังขารในชั่วขณะหนึ่ง ไม่คงที่อยู่นาน เช่น ความรู้สึกสุขทุกข์ เป็นต้น ฯ |
๙. | ทุกขลักษณะ และทุกขานุปัสสนา เป็นอย่างเดียวกันหรือต่างกัน ? ต่างกัน คือ ทุกขลักษณะ ได้แก่ ลักษณะที่เป็นทุกข์แห่งสังขาร เพราะถูกบีบคั้นจากปัจจัยต่างๆ ทุกขานุปัสสนา ได้แก่ ปัญญาพิจารณาเห็นสังขารว่าเป็นทุกข์ ฯ |
๑๐. | ทุกข์ประจำสังขาร กับทุกข์จร ต่างกันอย่างไร ? ทุกข์ประจำสังขาร เป็นทุกข์ที่ต้องมีแก่คนทุกคน ไม่สามารถจะหลีกเหลี่ยงพ้น ได้แก่ ความเกิด ความแก่ ความตาย ส่วนทุกข์จร เป็นทุกข์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งเป็นคราว ได้แก่ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส ประจวบด้วยคนหรือสิ่งอันไม่เป็นที่รัก พรากจากคนหรือสิ่งอันเป็นที่รัก ปรารถนาไม่ได้สมหวัง ฯ |
๑๑. | นิพัทธทุกข์ กับสหคตทุกข์ ต่างกันอย่างไร ? นิพัทธ์ทุกข์ คือทุกข์เนืองนิตย์ หรือทุกข์เป็นเจ้าเรือน ได้แก่ หนาว ร้อน หิว กระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ ส่วนสหคตทุกข์ คือทุกข์ไปด้วยกัน หรือทุกข์กำกับกัน ได้แก่ทุกข์มีเนื่องมาจากวิบูลผล ฯ |
๑๒. | สภาวทุกข์ สันตาปทุกข์ ได้แก่อะไร ? สภาวทุกข์ ได้แก่ ทุกข์ประจำสังขาร คือ ชาติ ชรา มรณะ สันตาปทุกข์ ได้แก่ ความกระวนกระวายใจเพราะถูกไฟคือกิเลสเผา ฯ |
๑๓. | ความเป็นอนัตตาแห่งสังขาร พึงกำหนดรู้ด้วยอาการอย่างไร ? ด้วยอาการอย่างนี้ คือ ๑. ไม่อยู่ในอำนาจ หรือฝืนความปรารถนา ๒. แย้งต่ออัตตา ๓. ความเป็นสภาพหาเจ้าของมิได้ ๔. ความเป็นสภาพสูญ ฯ |
๑. | วิราคะ ได้แก่อะไร ? คำว่า "วัฏฏูปจฺเฉโท ธรรมเข้าไปตัดเสียซึ่งวัฏฏะ" มีอธิบายว่าอย่างไร ? และตัดขาดได้อย่างไร ? ได้แก่ ความสิ้นกำหนัด ฯ อธิบายว่า วัฏฏะ หมายถึง ความเวียนว่ายตายเกิดด้วยอำนาจกิเลสกรรมและวิบาก วิราคะเข้าไปตัดความเวียนว่ายตายเกิดนั้น จึงเรียกว่า วัฏฏูปจฺเฉโท ธรรมเข้าไปตัดซึ่งวัฏฏะ ฯ ตัดขาดได้โดยการละกิเลสอันเป็นเบื้องต้นเสีย ฯ |
๒. | ตัณหา เมื่อเกิดขึ้นย่อมเกิดที่ไหนและเมื่อดับย่อมดับที่ไหน ? ตัณหานั้นย่อมสิ้นไปเพราะธรรมอะไร ? เมื่อเกิดขึ้นย่อมเกิดในสิ่งอันเป็นที่รักที่ยินดีในโลก เมื่อดับย่อมดับในสิ่งที่เป็นที่รักที่ยินดีในโลก ฯ ตัณหาย่อมสิ้นไปเพราะ นิพพาน ฯ |
๓. | ความอยากที่เข้าลักษณะเป็นตัณหาและไม่เป็นตัณหานั้น ได้แก่ความอยากเช่นไร ? เพราะเหตุไร ? ความอยากที่เข้าลักษณะตัณหา ประกอบด้วยความกำหนัด ด้วยอำนาจความยินดีเพลิดเพลินในอารมณ์นั้น อย่างนี้จัดเป็นตัณหา เพราะเป็นทุกขสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ ฯ ส่วนความอยากข้าว อยากน้ำ เป็นต้น ไม่จัดว่าเป็นตัณหา เพราะเป็นความอยากที่เป็นไปตามธรรมดาของสังขาร ฯ |
๔. | ไวพจน์แห่งวิราคะว่า มทนิมฺมทโน ธรรมยังความเมาให้สร่าง ความเมาในที่นี้ หมายถึงความเมาในอะไร ? หมายถึง ความเมาในอารมณ์อันยั่วยวนให้เกิดความเมาทุกประการ เช่น ความถึงพร้อมแห่งชาติ สกุล อิสริยะ และบริวาร หรือลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรือความเยาว์วัย ความหาโรคมิได้ และชีวิต ฯ |
๑. | ในวิมุตติ ๕ วิมุตติใดจัดเข้าใน อริยมรรค อริยผล นิพพาน ? สมุจเฉทวิมุตติ จัดเข้าในอริยมรรค ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ จัดเข้าในอริยผล นิสสรณวิมุตติ จัดเข้าในนิพพาน ฯ |
๒. | ความหลุดพ้นอย่างไรเป็นสมุจเฉทวิมุตติ ? จัดเป็นโลกิยะหรือโลกุตตระ ? คือ ความหลุดพ้น ด้วยการตัดกิเลสได้อย่างเด็ดขาด ได้แก่ อริยมรรค ฯ จัดเป็นโลกุตตระ ฯ |
๓. | วิมุตติ ๕ อย่างไหนเป็นโลกิยะ อย่างไหนเป็นโลกุตตระ ? ตทังควิมุตติ วิกขัมภนวิมุตติ เป็นโลกิยะ สมุจเฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ นิสสรณวิมุตติ เป็นโลกุตตระ ฯ |
๑. | จงจัดมรรค ๘ ลงในวิสุทธิ ๗ มาดู สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ จัดเข้าใน สีลวิสุทธิ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ จัดเข้าใน จิตตวิสุทธิ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ จัดเข้าใน ทิฏฐิวิสุทธิ กังขาวิตรณวิสุทธิ มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ปฏปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ญาณทัสสนวิสุทธิ ฯ |
๒. | วิสุทธิ ๗ แต่ละอย่างๆ จัดเข้าในไตรสิกขาได้อย่างไร ? สีลวิสุทธิ จัดเข้าใน สีลสิกขา จิตตวิสุทธิ จัดเข้าใน จิตตสิกขา ทิฏฐิวิสุทธิ กังขาวิตรณวิสุทธิ มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ญาณทัสสนวิสุทธิ จัดเข้าใน ปัญญาสิกขา ฯ |
๓. | พระบาลีว่า "ปญฺญาย ปริสุชฺฌติ บุคคลย่อมหมดจดด้วยปัญญา" มีอธิบายอย่างไร ? มีอธิบายว่า ผู้พิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า สังขาร ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เกิดความเบื่อหน่ายแล้ววางเฉยในสังขารนั้น ไม่ยินดียินร้าย ได้บรรลุอริยมรรค อริยผล ความหมดจดย่อมเกิดขึ้นด้วยปัญญาอย่างนี้ ฯ |
๔. | ในวิสุทธิ ๗ วิสุทธิข้อไหนบ้าง เป็นเหตุให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่แห่งวิปัสสนา ? เพราะเหตุไร ? จงอธิบาย ข้อสีลวิสุทธิ ความบริสุทธิ์แห่งศีล และจิตตวิสุทธิ ความบริสุทธิ์แห่งจิต เป็นเหตุให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่แห่งวิปัสสนา ฯ เพราะถ้ามีศีลไม่บริสุทธิ์ จิตย่อมไม่สงบ เมื่อจิตไม่สงบก็ยากที่จะเจริญวิปัสสนา ฯ |
๕. | ธรรมอะไรพระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นยอดแห่งสังขตธรรม ? เพราะเหตุไร ? อัฏฐังคิกมรรค เป็นยอดแห่งสังขตธรรม ฯ เพราะองค์ ๘ แต่ละองค์ๆ ของอัฏฐังคิกมรรค ก็เป็นธรรมดีๆ รวมกันเข้าทั้ง ๘ ย่อมเป็นธรรมดียิ่งนัก และเป็นทางเดียวนำไปสู่ความดับทุกข์หรือถึงความหมดจดแห่งทัสสนะ ฯ |
๑. | บาลีว่า "โลกามิสํ ปชเห สนฺติเปกฺโข ผู้เพ่งความสงบพึงละอามิสในโลกเสีย" คำว่า อามิสในโลก หมายถึงอะไร ? หมายถึง กามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ฯ |
๒. | สันติ ความสงบเกิดขึ้นที่ใด ? มีปฏิปทาที่จะดำเนินอย่างไร ? เกิดขึ้นที่กาย วาจา ใจ ฯ มีปฏิปทาที่จะดำเนิน คือ ปฏิบัติกาย วาจา ใจ ให้สงบจากโทษเวรภัย ด้วยการละโลกามิสคือกามคุณ ๕ ฯ |
๓. | สันติ ความสงบ เป็นโลกิยะ หรือโลกกุตตระ จงตอบโดยอ้างพระบาลีมาประกอบ เป็นได้ทั้งโลกิยะ และโลกุตตระ ฯ ที่เป็นโลกิยะได้ในบาลีว่า "น หิ รุณฺเณน โสเกน สนฺตึ ปปฺโปติ เจตโส บุคคลย่อมถึงความสงบแห่งจิต ด้วยร้องให้ ด้วยเศร้าโศกก็หาไม่ ที่เป็นโลกุตตระได้ในบาลีว่า "โลกามิสํ ปชเห สนฺติเปกฺโข ผู้เพ่งสันติพึงละโลกามิสเสีย ฯ |
๑. | สอุปาทิเสสนิพพาน กับ อนุปาทิเสสนิพพาน ต่างกันอย่างไร ? สอุปาทิเสสนิพพาน เป็นความดับกิเลสที่ยังมีเบญจขันธ์เหลือ อนุปาทิเสสนิพพาน เป็นความดับกิเลสที่ไม่มีเบญจขันธ์เหลือ ฯ |
๒. | พระบาลีว่า สิญฺจ ภิกฺขุ อมํ นาวํ แปลว่า ภิกษุเธอจงวิดเรือนี้ คำว่า เรือ และคำว่า วิด ในที่นี้หมายถึงอะไร ? คำว่า เรือ หมายถึง อัตภาพร่างกาย คำว่า วิด หมายถึง บรรเทากิเลสและบาปธรรมเสียให้บางเบา จนขจัดได้ขาด ฯ |
๓. | ข้อความว่า ปลงภาระอันหนักเสียแล้ว ไม่ถือเอาภาระอันอื่น ดังนี้ มีอธิบายอย่างไร ? อธิบายว่า ภาระ หมายเอาเบญจขันธ์ การปลงภาระหมายเอาการถอนอุปาทาน การไม่ถือเอาภาระอื่น หมายเอาการไม่ถือเอาเบญจขันธ์อื่นด้วยอุปาทาน ฯ |
๔. | คำว่า อุปาทิ ในคำว่า สอุปาทิเสสนิพพาน หมายถึงอะไร ? หมายถึง ขันธ์ ๕ (ขันธปัญจก) ฯ |
๕. | พระบาลีว่า “สพฺพูปธิปฏินิสฺสคฺโค ธรรมเป็นที่สละอุปธิทั้งปวง” ในคำนี้ อุปธิ เป็นชื่อของอะไรได้บ้าง ? แต่ละอย่างมีอธิบายว่าอย่างไร ? เป็นชื่อของกิเลส และปัญจขันธ์ ฯ ที่เป็นชื่อของกิเลส มีอธิบายว่า เข้าไปทรงคือเข้าครอง ที่เป็นชื่อแห่งปัญจขันธ์ มีอธิบายว่า เข้าไปทรงคือหอบไว้ซึ่งทุกข์ ฯ |
๑. | คติ คืออะไร ? สัตว์โลกที่ตายไป มีคติเป็นอย่างไรบ้าง ? คือ ภูมิหรือภพเป็นที่ไปหลังจากตายแล้ว ฯ มีคติเป็น ๒ คือ ๑. ทุคติ ภูมิเป็นที่ไปข้างชั่ว ซึ่งเกิดจากการประพฤติทุจริตทางกายวาจาใจ ๒. สุคติ ภูมิเป็นที่ไปข้างดี ซึ่งเกิดจากการประพฤติสุจริตทางกายวาจาใจ ฯ |
๒. | ในส่วนสังสารวัฏ สัตว์โลกตายแล้วมีคติเป็นอย่างไร ? มีพระบาลีแสดงไว้อย่างไร ? มีคติเป็น ๒ คือ สุคติและทุคติ ฯ มีพระบาลีแสดงไว้ว่า จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้ จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันต้องหวัง ฯ |
๓. | คำว่า สุคติ ในพระบาลีว่า จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? คือ ภูมิเป็นที่ไปข้างดี ฯ มีเทวะ ๑ มนุษย์ ๑ หรือ สุคติ ๑ โลกสวรรค์ ๑ ฯ |
๔. | คำว่า ทุคติ ในพระบาลีว่า จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? คือ ภูมิเป็นที่ไปข้างชั่ว ฯ มี นรก สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย ฯ |
๕. | อบาย คืออะไร ? ในอรรถกถาแจกไว้เป็น ๔ อย่าง อะไรบ้าง ? คือ โลกที่ปราศจากความเจริญ ฯ มี นิรยะ ติรัจฉานโยนิ ปิตติวิสยะ อสุรกาย ฯ |
๑. | สมถกัมมัฏฐาน กับ วิปัสสนากัมมัฏฐาน ต่างกันอย่างไร ? สมถกัมมัฏฐาน คือ กัมมัฏฐานเป็นอุบายเครื่องสงบใจ วิปัสสนากัมมัฏฐาน คือ กัมมัฏฐานเป็นอุบายเครื่องเรืองปัญญา ฯ |
๒. | หัวใจของสมถกัมมัฏฐาน มีอะไรบ้าง ? มี กายาคตาสติ เมตตา พุทธานุสสติ กสิณ และจตุธาตุววัตถาน ฯ |
๓. | ผู้เจริญเมตตาเป็นประจำ ย่อมได้รับอานิสงส์อะไรบ้าง ? ย่อมได้รับอานิสงส์อย่างนี้ คือ ๑. หลับอยู่ก็เป็นสุข ๒. ตื่นอยู่ก็เป็นสุข ๓. ไม่ฝันเห็นสิ่งลามก ๔. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้วหลาย ๕. เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย ๖. เทวดาทั้งหลายย่อมรักษา ๗. ไฟไม่ไหม้ พิษหรือศัตราวุธทั้งหลายไม่อาจประทุษร้าย ๘. จิตย่อมตั้งมั่นได้เร้วพลัน ๙. ผิวพรรณย่อมผ่องใสงดงาม ๑๐. ไม่หลงทำกาลกิริยา คือเมื่อจะตายย่อมได้สติ ๑๑. เมื่อตายแล้ว แม้เกิดอีก ก็ย่อมเกิดในที่ดีเป็นที่เสวยสุข ถ้าไม่เสื่อมจากฌานก็ไปเกิดในพรหมโลก ฯ |
๔. | นิวรณ์ คืออะไร ? เมื่อจิตถูกนิวรณ์นั้นๆ ครอบงำควรใช้กัมมัฏฐานบทใดเป็นเครื่องแก้ ? คือ ธรรมอันกลั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี ฯ กามฉันท์ ใช้อสุภกัมมัฏฐาน หรือกายาคตาสติเป็นเครื่องแก้ พยาบาท ใช้เมตตา กรุณา มุทิตา พรหมวิหาร ๓ ข้อเป็นเครื่องแก้ ถีนมิทธะ ใช้อนุสสติกัมมัฏฐานเป็นเครื่องแก้ อุทธัจจกุกุจจะ ใช้กสิณหรือมรณัสสติเป็นเครื่องแก้ วิจิกิจฉา ใช้ธาตุกัมมัฏฐานหรือวิปัสสนากัมมัฏฐานเป็นเครื่องแก้ ฯ |
๕. | ปฐมฌาณ ประกอบด้วยองค์เท่าไร ? อะไรบ้าง ? ด้วยองค์ ๕ ฯ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ฯ |
๑. | อารมณ์ของสติปัฏฐานมีอะไรบ้าง ? ผู้เจริญสติปัฏฐานพึงมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ? มี กาย เวทนา จิต ธรรม ฯ ๑. อาตาปี มีความเพียรเผากิเลส ๒. สัมปชาโน มีสัมปชัญญะ ๓. สติมา มีสติ ฯ |
๒. | เจริญมรณสติอย่างไรจึงแยบคาย บรรเทาความเมาในชีวิตไม่ติดในโลกธรรม ? เจริญพร้อมด้วยองค์ ๓ คือ ๑. สติ ระลึกถึงความตาย ๒. ญาณ รู้ว่าความตายจักมีแก่ตน ๓. เกิดสังเวชสลดใจ ฯ |
๓. | คนวิตกจริตมีนิสัยอย่างไร ? คนประเภทนี้ควรเจริญกัมมัฏฐานบทใด ? มีนิสัย ชอบคิดมาก ฟุ้งซ่าน ฯ ควรเจริญอานาปานัสสติกัมมัฏฐาน ฯ |
๔. | จริต คืออะไร ? เพราะเหตุใดจึงต้องเจริญกัมมัฏฐานให้เหมาะกับจริตของตน ? คือ ความประพฤติเป็นปกติของบุคคล ฯ เพราะ กัมมัฏฐานแต่ละอย่างก็เป็นที่สบายของคนแต่ละจริต ถ้าเจริญไม่เหมาะกับจริต กรรมฐานก็จะสำเร็จได้โดยยาก ฯ |
๕. | ในสมถกรรมฐาน ๔๐ ประการ มีนิมิตและภาวนากี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? มีนิมิต ๓ คือ บริกรรมนิมิต อุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิต และภาวนา ๓ คือ บริกรรมภาวนา อุปจารภาวนา และอัปปนาภาวนา ฯ |
๖. | บรรดาอาการ ๓๒ ประการนั้น ส่วนที่เป็นอาโปธาตุมีอะไรบ้าง ? มี ดี เสมหะ น้ำเหลือง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา มันเหลว น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร ฯ |
๗. | จตุธาตุววัตถานกัมมัฏฐาน คืออะไร ? ผู้เจริญกัมมัฏฐานนี้จะพึงกำหนดพิจารณาอย่างไร ? คือ ความกำหนดหมายซึ่งธาตุ ๔ โดยสภาวะความเป็นเองของธาตุ ฯ พึงกำหนดพิจารณาทั้งกายตนเองและกายผู้อื่นให้เห็นเป็นแต่สักว่าธาตุ และพึงกำหนดให้รู้จักธาตุภายในภายนอกให้เห็นเป็นแต่สักว่าธาตุไปหมดทั้งโลกไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล ฯ |
๘. | ในนวสีวถิกาปัพพะ เมื่อเห็นซากศพชนิดใดชนิดหนึ่งใน ๙ ชนิดนั้น พึงภาวนาอย่างไร ? พึงภาวนาโดยการน้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า อยมฺปิ โข กาโย ถึงร่างกายอันนี้เล่า เอวํธมฺโม ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา เอวํภาวี จักเป็นอย่างนี้ เอวํ อนตีโต ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ฯ |
๑. | ในพุทธคุณ ๙ ประการนั้น ส่วนไหนเป็นเหตุ ส่วนไหนเป็นผล ? เพราะเหตุไร ? พระพุทธคุณ ส่วนอัตตสมบัติ เป็นเหตุ ส่วนปรหิตปฏิบัติ เป็นผล ฯ เพราะทรงบริบูรณ์ด้วยพระพุทธคุณส่วนอัตตสมบัติก่อน แล้วจึงทรงบำเพ็ญพุทธกิจให้สำเร็จประโยชน์แก่เวไนย ฯ |
๒. | จงแสดงพระพุทธคุณ ๙ โดยอัตตสมบัติและปรหิตปฏิบัติ พอได้ใจความ ? พระพุทธคุณ คือ อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู เป็นพระพุทธคุณส่วนอัตตสมบัติ พระพุทธคุณ คือ อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นพระพุทธคุณส่วนปรหิตปฏิบัติ พระพุทธคุณ คือ พุทฺโธ ภควา เป็นพระพุทธคุณทั้งอัตตสมบัติและปรหิตสมบัติ ฯ |
๑. | ปัญญารู้เห็นอย่างไร ชื่อว่าวิปัสสนาปัญญา ? ปัญญาอันเห็นตามเป็นจริง คือกำหนดรู้สังขารโดยความเป็นของไม่เที่ยง ๑ โดยความเป็นทุกข์ ๑ โดยความเป็นอนัตตา ๑ ถอนความถือมั่นด้วยอำนาจตัณหา มานะ ทิฏฐิเสียได้ ชื่อว่า วิปัสสนาปัญญา ฯ |
๒. | ท่านว่า ผู้ที่เจริญวิปัสสนาปัญญา พึงรู้ฐานะ ๖ ก่อน ฐานะ ๖ นั้นมีอะไรบ้าง ? มี ๑. อนิจจะ ของไม่เที่ยง ๒. อนิจจลักขณะ เครื่องหมายที่จะให้กำหนดรู้ว่าไม่เที่ยง ๓. ทุกขะ ของสัตว์ทนได้ยาก ๔. ทุกขลักษณะ เครื่องหมายที่จะให้กำหนดรู้ว่าเป็นทุกข์ ๕. อนัตตา สิ่งสภาพไม่ใช่ตัวตน ๖. อนัตตลักขณะ เครื่องหมายที่จะกำหนดรู้ว่าเป็นอนัตตา ฯ |
๓. | ผู้จะเจริญวิปัสสนาภาวนา พึงศึกษาให้รู้จักธรรม ๓ ประการ อะไรบ้าง ? คือ ๑. ธรรมเป็นภูมิเป็นอารมณ์ของวิปัสสนานั้น (มีขันธ์ ๕ เป็นต้น) ๒. ธรรมเป็นรากเหง้า เป็นเหตุเกิดขึ้นตั้งอยู่ของวิปัสสนานั้น (คือสีลวิสุทธิและจิตติวิสุทธิ) ๓. ตัว คือ วิปัสสนานั้น (คือ วิสุทธิ ๕ ที่เหลือ) ฯ |
๔. | ในอนัตตลักขณสูตร พระศาสดาทรงยกธรรมอะไรขึ้นแสดงว่าเป็นอนัตตา ? ทรงยก ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขึ้นแสดงว่าเป็นอนัตตา ฯ |
๕. | ในอนัตตลักขณสูตร พระศาสดาทรงแสดงอานิสงส์แห่งวิปัสสนาว่าอย่างไร ? ทรงแสดงไว้ว่า เอวํปสฺสํภิกฺขเว สุตฺวา อริยสาวโก เป็นต้น หมายความว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เมื่อเห็นอย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่าย ย่อมฟอกจิตให้หมดจด เพราะการฟอกจิตให้หมดจดได้ จิตนั้นก็พ้นจากอาสวะทั้งปวง เมื่อจิตพ้นพิเศษแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ว่า พ้นแล้ว และเธอรู้ประจักษ์ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์คือกิจพระศาสนา ได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเช่นนี้ ไม่มีอีก ฯ |
๑. | วิปัลลาส คืออะไร ? แบ่งตามจิตและเจตสิกได้แกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? คือ กิริยาที่ถือเอาอาการวิปริตผิดจากความเป็นจริง ฯ แบ่งได้ ๓ ประเภท ฯ คือ ๑. สัญญาวิปัลลาส ๒. จิตตวิปัลลาส ๓. ทิฏฐิวิปัลลาส ฯ |
๒. | วิปัลลาสจำแนกโดยวัตถุเป็นที่ตั้งมีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? มี ๔ อย่าง คือ ๑. ความสำคัญคิดเห็นในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ๒. ความสำคัญคิดเห็นในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าสุข ๓. ความสำคัญคิดเห็นในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน และ ๔. ความสำคัญคิดเห็นในสิ่งที่ไม่งามว่างาม ฯ |
๓. | ในอรกสูตรกล่าวไว้ว่า “ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายเปรียบเหมือนหยาดน้ำค้าง” ดังนี้ มีอธิบายอย่างไร ? และที่กล่าวไว้เช่นนั้นมีประโยชน์อย่างไร ? มีอธิบายว่า ธรรมดาหยาดน้ำค้างที่จับอยู่ตามยอดหญ้า เมื่อถูกแสงอาทิตย์ในเวลาเช้า ก็พลันจะเหือดแห้งหายไปฉันใด ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายก็ฉันนั้น มีความเกิด แล้วก็มีความแก่ ความเจ็บ ความตาย คอยเบียดเบียน ทำให้ดำรงอยู่ได้ไม่นาน ไม่ถึงร้อยปีก็จะหมดไป ฯ มีประโยชน์คือ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้รู้สึกด้วยปัญญา ทำให้ไม่ประมาทในชีวิต จักได้เร่งสั่งสมความดี ฯ |
๔. | ในอรกสูตรกล่าวไว้ว่า “ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายเปรียบเหมือนชิ้นเนื้อนาบไฟ” มีอธิบายอย่างไร ? มีอธิบายว่า ธรรมดาชิ้นเนื้อที่บุคคลเอาลงในกระทะเหล็กอันร้อนตลอดวันยังค่ำย่อมจะพลันไหม้ ไม่ตั้งอยู่นานฉันใด ชีวิตก็ถูกเพลิงกิเลสและเพลิงทุกข์เผาผลาญให้ เหี้ยมเกรียมไม่ทนอยู่นานฉันนั้น ฯ |
๑. | สติปัฏฐาน ๔ คืออะไรบ้าง ? การพิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง โดยความเป็นของปฏิกูล จัดเข้าในสติปัฏฐานข้อไหน ? คือ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน และธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ฯ จัดเข้าในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ฯ |
๒. | สติปัฏฐาน ๔ ผู้ปฏบัติธรรมอบรมให้บริบูรณ์เต็มที่แล้ว ย่อมเป็นเพื่ออานิสงส์ ๕ ประการอะไรบ้าง ? อานิสงส์ ๕ ประการ คือ ๑. เพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย ๒. เพื่อความข้ามพ้นโสกะปริเทวะทั้งหลาย ๓. เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์โทมนัส ๔. เพื่อความบรรลุธรรมที่ควรรู้ ๕. เพื่อความทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ฯ |
๓. | ผู้เจริญมหาสติปัฏฐาน ต้องประกอบด้วยธรรมอะไรบ้าง จึงจะกำจัดอภิชฌาและโทมนัสได้ ? ต้องประกอบด้วยธรรม ๓ คือ ๑. อาตาปี มีความเพียรเผากิเลสให้เร้าร้อน ๒. สัมปชาโน รู้ทั่วพร้อม ๓. สติมา มีสติ ฯ |
๑. | พระพุทธเจ้าทรงแสดงคิริมานนทสูตรที่ไหน ? แก่ใคร ? ว่าด้วยเรื่องอะไร ? ที่พระเชตวัน เมืองสาวัตถี ฯ แก่พระอานนท์ ฯ ว่าด้วยสัญญา ๑๐ ฯ |
๒. | พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงสัญญา ๑๐ แก่ใคร ? อนิจจสัญญา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนให้พิจารณาธรรมอะไร ? แก่ พระอานนทเถระ ฯ ทรงให้พิจารณาขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ฯ |
๓. | อนิจจสัญญา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนให้พิจารณาธรรมอะไร ? พิจารณาขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ฯ |
๔. | ในคิริมานนทสูตร ข้อว่า ปหานสัญญา พระศาสดาทรงสอนให้ละอะไร ? ทรงสอนให้ละ กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก และอกุศลบาปธรรม ที่เกิดขึ้นแล้ว ฯ |
๕. | ข้อว่า อนัตตสัญญา ในคิริมานนทสูตร ทรงให้พิจารณาว่าอะไรเป็นอนัตตา ? ทรงให้พิจารณาอายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และอายตนะภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ว่าเป็นอนัตตา ฯ |
๖. | พระคิริมานนท์หายจากอาพาธ เพราะฟังธรรมจากใคร ? ธรรมนั้นว่าด้วยเรื่องอะไร ? จากพระอานนท์ ฯ ว่าด้วยเรื่องสัญญา ๑๐ ฯ |