เก็งข้อสอบนักธรรมชั้นโท - วิชาธรรม [พระเณร]

<h1>เก็งข้อสอบวิชาธรรมวิภาค นักธรรมชั้นโท,แนวข้อสอบนักธรรมชั้นโท, ข้อสอบวิชาธรรม น.ธ.ชั้นโท</h1>




ดาวน์โหลด หรือเปิดอ่านแบบ PDF




เก็งข้อสอบวิชาธรรมวิภาค นักธรรมชั้นโท,แนวข้อสอบนักธรรมชั้นโท, ข้อสอบวิชาธรรม น.ธ.ชั้นโท
{getButton} $text={เรื่อง พระอริยบุคคล ๒} $color={#009933}
๑. ในอริยบุคคล ๒ พระเสขะผู้ยังต้องศึกษา คือศึกษาเรื่องอะไร ?
คือศึกษา ในอธิสีล ในอธิจิต และในอธิปัญญา อีกอย่างหนึ่งหมายถึง ต้องศึกษาและต้องปฏิบัติเพื่อมรรคผลเบื้องสูงขึ้นไป ฯ
๒. ในอริยบุคคล ๒ ชื่อว่า พระอเสขะ เพราะอะไร ?
เพราะเสร็จกิจอันจะต้องทำจะต้องศึกษาแล้ว ฯ
๓. พระอริยบุคคล ๔ ได้แก่ใครบ้าง ? พระโสดาบันละสังโยชน์อะไรได้บ้าง ?
ได้แก่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ฯ
พระโสดาบันละสังโยชน์ได้ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ฯ
๔. อริยบุคคล ๘ ได้แก่ใครบ้าง ? จัดเข้าในพระเสขะและพระอเสขะได้อย่างไร ?
อริยบุคคล ๘ ได้แก่
พระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค ๑
พระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ๑
พระผู้ตั้งอยู่ในสกทาคามิมรรค ๑
พระผู้ตั้งอยู่ในสกทาคามิผล ๑
พระผู้ตั้งอยู่ในอนาคามิมรรค ๑
พระผู้ตั้งอยู่ในอนาคามิผล ๑
พระผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตมรรค ๑
พระผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตผล ๑ ฯ
จัดเข้าได้อย่างนี้ อริยบุคคล ๗ ประเภทแรก เรียกว่า พระเสขะ
และอริยบุคคล ๑ ประเภทหลัง เรียกว่า พระอเสขะ ฯ



{getButton} $text={เรื่อง กรรมฐาน ๒} $color={#009933}
๑. สมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน มุ่งผลแห่งการปฏิบัติอย่างไร ?
สมถกรรมฐานมุ่งผลคือความสงบใจ ส่วนวิปัสสนากรรมฐานมุ่งผลคือความเรืองปัญญา ฯ
๒. การพิจารณาสังขารทั้งหลายโดยความเป็นไตรลักษณ์จัดเป็นกัมมัฏฐานอะไร ? มีประโยชน์อย่างไร ?
จัดเป็นวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฯ
มีประโยชน์ คือทำให้รู้จักสภาพที่เป็นจริงแห่งสังขารทั้งหลายว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แล้วเกิดความเบื่อหน่ายในสังขารทั้งหลายเหล่านั้น ฯ
๓. ตจปัญจกกัมมัฏฐาน มีอะไรบ้าง ? เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอย่างไร ? เป็นอารมณ์ของสมถกัมมัฏฐานหรือของวิปัสสนากัมมัฏฐาน ?
มี เกสา ผม โลมา ขน นขา เล็บ ทันตา ฟัน และ ตโจ หนัง ฯ
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มูลกัมมัฏฐาน ฯ
เป็นได้ทั้งสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐานฯ



{getButton} $text={เรื่อง ธรรม ๒} $color={#009933}
๑. สังขตธรรม คืออะไร ? มีลักษณะอย่างไร ?
คือธรรมอันปัจจัยปรุงแต่ง ฯ
มีลักษณะ คือ มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนในท่ามกลางและมีความดับไปในที่สุด ฯ
๒. สังขตธรรม และ อสังขตธรรม ต่างกันอย่างไร ? สัตว์ ต้นไม้ ภูเขา เป็นสังขตธรรม เพราะมีลักษณะอย่างไร ?
ต่างกันอย่างนี้ สัขตธรรม เป็นธรรมอันมีปัจจัยปรุงแต่ง ตกอยู่ในสัขตลักษณะ ๓ ส่วน อสังขตธรรม เป็น ธรรมอันมิได้ปรุงแต่ง ไม่ตกอยู่ในสังขตลักษณะ ๓ เพราะมีการเกิดขึ้นเป็นเบื้องต้นปรากฏ มีความดับเป็นที่สุดปรากฏ ฯ
๓. ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความดับไป เป็นลักษณะของธรรมอะไร ? สัตว์บุคคลมีลักษณะเช่นนั้นหรือไม่ ? จงอธิบาย
เป็นลักษณะของสังขตธรรม ฯ
มีลักษณะเช่นนั้น คือ เมื่อสัตว์บุคคลเกิดมาแล้ว ก็เป็นความเกิดขึ้น ต่อมาก็เจริญเติบโตผ่านวัยทั้ง ๓ ก็เป็นความตั้งอยู่ เมื่อตาย ก็เป็นความดับไป ฯ



{getButton} $text={เรื่อง ญาณ ๓} $color={#009933}
๑. ญาณ ๓ ที่เป็นไปในอริยสัจ ๔ มีอะไรบ้าง ?
ญาณ ๓ ที่เป็นเป็นไปในอริยสัจ ๔ มี
๑. สัจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้อริยสัจ
๒. กิจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันควรทำ
๓. กตญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันทำแล้ว ฯ
๒. ญาณ ๓ ที่เป็นไปในทุกขนิโรธสัจมีอธิบายอย่างไร ?
มีอธิบายว่า
๑. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขนิโรธสัจ จัดเป็นสัจจญาณ
๒. ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขนิโรธสัจเป็นสภาพที่ควรทำให้แจ้ง จัดเป็นกิจจญาณ
๓. ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขนิโรธสัจที่ควรทำให้แจ้ง ๆ แล้ว จัดเป็นกตญาณ ฯ
๓. กิจจญาณ คืออะไร ? เป็นไปในอริยสัจ ๔ อย่างไร ?
คือ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันควรทำ ฯ
เป็นไปในอริยสัจ ๔ คือ ปรีชาหยั่งรู้ว่า
ทุกข์เป็นธรรมชาติที่ควรกำหนดรู้,
ทุกขสมุทัยเป็นธรรมชาติที่ควรละ,
ทุกขนิโรธเป็นธรรมชาติที่ควรทำให้แจ้ง,
ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาเป็นธรรมชาติที่ควรทำให้เกิด ฯ
๔. กตญาณ เป็นไปในอริยสัจ ๔ อย่างไร ?
เป็นไปในอริยสัจ ๔ คือ ปรีชาหยั่งรู้ว่า
ทุกข์ควรกำหนดรู้ ได้กำหนดรู้แล้ว
ทุกขสมุทัยที่ควรละ ได้ละแล้ว
ทุกขนิโรธที่ควรทำให้แจ้ง ได้ทำให้แจ้งแล้ว
ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาที่ควรเจริญ ได้เจริญแล้ว ฯ



{getButton} $text={เรื่อง วัฏฏะ ๓} $color={#009933}
๑. กิเลส กรรม วิบาก ได้ชื่อว่า วัฏฏะ เพราะเหตุไร ? จะตัดให้ขาดได้ด้วยอะไร ?
เพราะว่า วน คือหมุนเวียนกันไป กล่าวคือ เมื่อกิเลสเกิดขึ้นแล้วให้ทำกรรม ครั้นทำกรรมแล้ว ย่อมได้รับวิบากแห่งกรรม เมื่อได้รับวิบากกิเลสก็เกิดขึ้นอีก วนกันไปอย่างนี้ ฯ
จะตัดให้ขาดต้องบรรลุพระอรหันต์ ฯ
๒. ไตรวัฏฏะ อันได้แก่ กิเลสวัฏฏะ กัมมวัฏฏะ วิปากวัฏฏะ มีสภาพเกี่ยวเนื่องวนกันไปอย่างไร ? ตัดให้ขาดได้ด้วยอะไร ?
คือ กิเลสเกิดขึ้นแล้วให้ทำกรรม ครั้นทำกรรมแล้ว ย่อมได้รับวิบากแห่งกรรม เมื่อได้รับวิบาก กิเลสก็เกิดขึ้นอีก วนกันไปอย่างนี้ ฯ
ได้ด้วยอรหัตตมรรคญาณ ฯ



{getButton} $text={เรื่อง มาร ๕} $color={#009933}
๑. มาร ๕ คืออะไรบ้าง ? กิเลสได้ชื่อว่ามารเพราะเหตุไร ?
คือ ปัญจขันธ์ กิเลส อภิสังขาร มรณะ และ เทวบุตร ฯ
ได้ชื่อว่ามาร เพราะผู้ที่ตกอยู่ในอานาจแห่งกิเลสแล้ว กิเลสย่อมผูกรัดไว้บ้าง ย่อมทำให้เสียคนบ้าง ฯ
๒. มัจจุมารได้แก่อะไร ? ได้ชื่อว่าเป็นมารเพราะเหตุไร ?
ได้แก่ความตาย ฯ
ชื่อว่าเป็นมาร เพราะเมื่อความตายเกิดขึ้น บุคคลย่อมหมดโอกาสทีจะทำประโยชน์ใด ๆ อีกต่อไป ฯ
๓. ปัญจขันธ์ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าเป็นมาร มีอธิบายว่าอย่างไร ?
มีอธิบายว่า
ปัญจขันธ์นั้น บางทีทำความลำบาก บางทีทำให้เกิดความเบื่อหน่าย จนถึงฆ่าตัวตายก็มี ฯ
๔. ในพระพุทธศาสนาพูดเรื่องมารไว้มาก อยากทราบว่า คำว่า มาร หมายถึงอะไร ?
หมายถึง สิ่งที่ล้างผลาญทำลายความดี ชักนำให้ทำบาปกรรม ปิดกั้นไม่ให้ทำความดี จนถึงปิดกั้นไม่ให้เข้าใจสรรพสิ่งตามความเป็นจริง ฯ
๕. มาร คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? อกุศลกรรมจัดเป็นมารประเภทใด ?
มาร คือ สิ่งที่ล้างผลาญทำลายความดี ชักนำให้ทำบาปกรรม ปิดกั้นไม่ให้ทำความดี จนถึงปิดกั้นไม่ให้เข้าใจสรรพสิ่งตามความเป็นจริง ฯ มีดังนี้
๑. ขันธมาร มารคือปัญจขันธ์
๒. กิเลสมาร มารคือกิเลส
๓. อภิสังขารมาร มารคืออภิสังขาร
๔. มัจจุมาร มารคือมรณะ
๕. เทวปุตตมาร มารคือเทวบุตร
อกุศลกรรมจัดเป็นมารประเภท อภิสังขารมาร ฯ



{getButton} $text={เรื่อง ธรรมคุณ ๖} $color={#009933}
๑. ในธรรมคุณบทว่า “พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว” พระธรรมนั้น หมายถึงอะไร ?
พระธรรม หมายถึง ปริยัติธรรม กับ ปฏิเวธธรรม
(หรือโดยพิสดารได้แก่ สัทธรรม ๑๐ คือ โลกุตรธรรม ๙ กับ ปริยัติธรรม ๑) ฯ



{getButton} $text={เรื่อง พุทธคุณ ๙} $color={#009933}
๑. พระพุทธคุณ บทว่า อรหํ แปลว่าอย่างไรได้บ้าง ?
แปลได้อย่างนี้ คือ
เป็นผู้เว้นไกลจากกิเลสและบาปกรรม
เป็นผู้หักกำแห่งสังสารจักร
เป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอนเขา
เป็นผู้ควรรับความเคารพนับถือของเขา
เป็นผู้ไม่มีข้อลับ ไม่ได้ทำความเสียหายอันจะพึงซ่อนเพื่อมิให้คนอื่นรู้ ฯ
๒. พระพุทธคุณ บทว่า อรหํ ที่แปลว่า เป็นผู้หักกำแห่งสังสารจักรนั้น คือ ได้แก่อะไร ?
ได้แก่ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน และกรรม ฯ
๓. พุทธคุณ ๒ ก็มี พุทธคุณ ๓ ก็มี พุทธคุณ ๙ ก็มี จงแจกแจงแต่ละอย่างว่ามีอะไรบ้าง ?
พุทธคุณ ๒ คือ อัตตสมบัติ และ ปรหิตปฏิบัติ
พุทธคุณ ๓ คือ พระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ และพระกรุณาคุณ
พุทธคุณ ๙ คือ อรหํ, สมฺมาสมฺพุทฺโธ, วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน, สุคโต,โลกวิทู, อนุตฺตโร ปุริสธมฺมสารถิ, สตฺถา เทวมนุสฺสานํ, พุทฺโธ, ภควา ฯ
๔. พระพุทธคุณ ๙ บท คืออะไรบ้าง บทไหนจัดเป็นอัตตหิตสมบัติและปรหิตปฏิบัติ ?
คือ อรหํ, สมฺมาสมฺพุทฺโธ, วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน, สุคโต, โลกวิทู, อนุตฺตโรปุริสธมฺมสารถิ, สตฺถา เทวมนุสฺสานํ, พุทฺโธ, ภควา ฯ
๕ บทเบื้องต้นเป็นอัตตหิตสมบัติ ๔
บทเบื้องปลายเป็นปรหิตปฏิบัติ ฯ
๕. พระพุทธคุณบทว่า “อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ คำว่า “บุรุษที่ควรฝึกได้” นั้น หมายถึงบุคคลเช่นไร ?
หมายถึงบุคคลผู้มีอุปนิสัยที่อาจฝึกให้ดีได้และตั้งใจจะเข้าใจพระธรรมเทศนา แม้ฟังด้วยตั้งใจจะจับข้อบกพร่องขึ้นยกโทษเช่นเดียรถีย์ก็ตาม ฯ



{getButton} $text={เรื่อง สังฆคุณ ๙} $color={#009933}
๑. คำว่า พระสงฆ์ ในบทสังฆคุณนั้น ท่านประสงค์บุคคลเช่นไร ? จำแนกมาดู
ท่านประสงค์พระอริยบุคคล ๔ คู่ ๘ บุคคล ซึ่งล้วนแต่ท่านผู้ที่ตั้งอยู่ในมรรคผลทั้งสิ้น คือ
พระโสดาปัตติมรรค พระโสดาปัตติผล คู่ ๑
พระสกทาคามิมรรค พระสกทาคามิผล คู่ ๑
พระอนาคามิมรรค พระอนาคามิผล คู่ ๑
พระอรหัตมรรค พระอรหัตผล คู่ ๑ ฯ
๒. คำว่า “อุชุปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติตรง” คือปฏิบัติเช่นไร ?
คือ ไม่ปฏิบัติลวงโลก ไม่มีมายาสาไถย ประพฤติตรงต่อพระศาสดาและเพื่อนสาวกด้วยกัน ไม่อำพรางความในใจ ฯ
๓. พระสงฆ์ ในบทสังฆคุณ ๙ ท่านหมายถึงพระสงฆ์เช่นไร ?
หมายถึง พระสาวกผู้ได้บรรลุธรรมวิเศษตั้งแต่โสดาปัตติมรรคเป็นต้น ฯ
๔. สังฆคุณ ๙ มีอะไรบ้าง ? จะย่นให้เหลือเพียง ๒ ได้อย่างไร ?
สังฆคุณ ๙ มีดังนี้
๑. สุปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว
๒. อุชุปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว
๓. ญายปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติเป็นธรรม
๔. สามีจิปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติสมควร
๕. อาหุเนยฺโย เป็นผู้ควรของคำนับ
๖. ปาหุเนยฺโย เป็นผู้ควรของต้อนรับ
๗. ทกฺขิเณยฺโย เป็นผู้ควรของทำบุญ
๘. อญฺชลีกรณีโย เป็นผู้ควรทำอัญชลี [ประณมมือไหว้]
๙. อนุตฺตรํ ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺส เป็นนาบุญของโลกไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ฯ
ข้อ ๑ ถึงข้อ ๔ เป็นอัตตหิตคุณ คือคุณเกื้อกูลแก่ตนเอง
ข้อ ๕ ถึงข้อ ๙ เป็นปรหิตคุณ คือคุณเกื้อกูลแก่ผู้อื่น ฯ



{getButton} $text={เรื่อง กรรม ๑๒} $color={#009933}
๑. ในกรรม ๑๒ อุปัตถัมภกกรรม กับ อุปปีฬกกรรม ทำหน้าที่ต่างกันอย่างไร ?
อุปัตถัมภกกรรม ทำหน้าที่สนับสนุนผลแห่งชนกกรรม ส่วน อุปปีฬกกรรม ทำหน้าที่บีบคั้นผลแห่งชนกกรรม
๒. ครุกรรม คืออะไร ? อนันตริยกรรมกับสมาบัติ ๘ เป็นครุกรรมฝ่ายกุศลหรืออกุศล ?
คือ กรรมหนัก ฯ
อนันตริยกรรม เป็นครุกรรมฝ่ายอกุศล ส่วนสมาบัติ ๘ เป็นครุกรรมฝ่ายกุศล ฯ
๓. จงให้ความหมายของคำว่า อโหสิกรรม และ กตัตตากรรม ว่าอย่างไร ?
อโหสิกรรม คือกรรมให้ผลสำเร็จแล้ว เป็นกรรมล่วงแล้วเลิกให้ผลเปรียบเหมือนพืชสิ้นยางแล้ว เพาะไม่ขึ้น ส่วน กตัตตากรรม คือกรรมสักว่าทำได้แก่กรรมอันทำด้วยไม่จงใจ ฯ
๔. กรรมที่บุคคลทำไว้ ทำหน้าที่อย่างไรบ้าง ?
ทำหน้าที่ คือ
๑. แต่ง (วิบาก) ให้เกิด เรียกว่า ชนกกรรม
๒. สนับสนุน (วิบากของกรรมอื่น) เรียกว่า อุปัตถัมภกกรรม
๓. บีบคั้น (วิบากของกรรมอื่น) เรียกว่า อุปปีฬกกรรม
๔. ตัดรอน (วิบากของกรรมอื่น) เรียกว่า อุปฆาตกกรรม ฯ



{getButton} $text={เรื่อง ธุดงค์ ๑๓} $color={#009933}
๑. ธุดงค์ มีกี่หมวด ? หมวดไหนว่าด้วยเรื่องอะไร ?
มี ๔ หมวด ฯ ดังนี้
หมวดที่ ๑ ว่าด้วยเรื่องจีวร
หมวดที่ ๒ ว่าด้วยเรื่องบิณฑบาต
หมวดที่ ๓ ว่าด้วยเรื่องเสนาสนะ
หมวดที่ ๔ ว่าด้วยเรื่องความเพียร ฯ
๒. ธุดงค์ คืออะไร ? ข้อใดของปัจจัย ๔ ไม่มีในธุดงค์ ?
คือ วัตตจริยาพิเศษอย่างหนึ่ง บัญญัติขึ้นด้วยหมายจะให้เป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ
ข้อ ยารักษาโรค ไม่มีในธุดงค์ ฯ
๓. การสมาทานธุดงค์ฉันมื้อเดียวเป็นวัตรที่เรียกว่า “ฉันเอกา” จัดเข้าในธุดงค์ข้อไหน ?
จัดเข้าในข้อ เอกาสนิกังคะ คือ ถือนั่งฉัน ณ อาสนะเดียวเป็นวัตร ฯ
๔. ธุดงค์ท่านบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร ? ธุดงค์ที่ภิกษุถือได้มีกำหนดเฉพาะกาล คือข้อใด ? เพราะเหตุใด ฯ
เพื่อเป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ
คือข้อ รุกขมูลิกังคะ และ อัพโภกาสิกังคะ ธุดงค์ ๒ ข้อนี้ภิกษุถือได้เฉพาะกาลนอกพรรษา ฯ
เพราะในพรรษาภิกษุต้องถือเสนาสนะเป็นที่อยู่อาศัยประจำ ตามพระวินัยนิยม ฯ