เก็งข้อสอบนักธรรมชั้นโท วิชาวินัยบัญญัติ ปีพ.ศ.2568

เก็งข้อสอบธรรมสนามหลวง นักธรรมชั้นโท วิชาวินัยบัญญัติ ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๘ มีทั้งหมด ๓๒ ข้อ ดังนี้ |
|
---|---|
๑. | อภิสมาจาร คืออะไร ? ภิกษุผู้ไม่เอื้อเฟื้อในอภิสมาจารมีโทษอย่างไร บ้าง ? |
---|---|
ต/ |
อภิสมาจาร คือ ขนบธรรมเนียมอันดีงามของภิกษุ ฯ มีโทษปรับอาบัติถุลลัจจัยเป็นอย่างสูง แต่มีน้อย ส่วนมากปรับอาบัติทุกกฏเป็นพื้น ฯ |
๒. | สิกขาบทนอกพระปาฏิโมกข์เรียกว่าอะไร ? ทรงบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร ? |
ต/ |
เรียกว่า อภิสมาจาร ฯ ทรงบัญญัติไว้เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของภิกษุและเพื่อความงามของพระศาสนา ฯ |
๓. | ในกายบริหาร มีข้อปฏิบัติเกี่ยวกับหนวดและคิ้วไว้อย่างไร ? |
ต/ | เรื่องหนวด มีข้อปฏิบัติไว้ว่า อย่าพึงไว้หนวดไว้เครา คือต้องโกนเสมอ ห้ามไม่ให้แต่งหนวด และห้ามไม่ให้ตัดหนวดด้วยกรรไกร ส่วนเรื่องคิ้ว ไม่ได้วางหลักปฏิบัติไว้ แต่พระสงฆ์ไทยนิยม โกนพร้อมกับผม ฯ |
๔. | การผัดหน้า ไล้หน้า ทาหน้า ทรงห้ามและทรงอนุญาตไว้ในกรณีใด ? |
ต/ |
การผัดหน้า ไล้หน้า ทาหน้า ทรงห้ามเฉพาะเพื่อทำให้สวย ทรงอนุญาตในกรณีอาพาธ ฯ |
๕. | เปลือยกายอย่างไรต้องอาบัติถุลลัจจัย ? อย่างไรต้องอาบัติทุกกฎ ? |
ต/ |
เปลือยกายเป็นวัตรเอาอย่างเดียรถีย์ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯ เปลือยกายทํากิจแก่กัน เช่น ไหว้ รับไหว้ ทําบริกรรม ให้ของ รับของและเปลือยกายในเวลาฉัน ในเวลาดื่ม ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ |
๖. | ข้อว่า อย่าพึงนุ่งห่มผ้าอย่างคฤหัสถ์ นั้นมีอธิบายอย่างไร ? |
ต/ | มีอธิบายว่า ห้ามนุ่งห่มเครื่องนุ่งห่มของคฤหัสถ์ เช่น กางเกง เสื้อ ผ้าโพก หมวก ผ้านุ่ง ผ้าห่มสีต่าง ๆ ชนิดต่าง ๆ และห้ามอาการนุ่งห่มต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ของภิกษุ ฯ |
๗. | ผ้าสำหรับทำจีวรนุ่งห่มนั้น ทรงอนุญาตไว้กี่ชนิด ? อะไรบ้าง ฯ |
ต/ |
ทรงอนุญาตไว้ ๖ ชนิด ฯ คือ ๑) โขมะ ผ้าทำด้วยเปลือกไม้ ๒) กัปปาสิกะ ผ้าทำด้วยฝ้าย ๓) โกเสยยะ ผ้าทำด้วยใยไหม ๔) กัมพละ ผ้าทำด้วยขนสัตว์ ยกเว้นผมและขนมนุษย์ ๕) สาณะ ผ้าทำด้วยเปลือกป่าน ๖) ภังคะ ผ้าทำด้วยของ ๕ อย่างนั้น แต่อย่างใดอย่างหนึ่งปนกัน ฯ |
๘. | บาตรที่ทรงอนุญาต มีกี่ชนิด ? อะไรบ้าง ? บาตรสแตนเลสจัดเข้าในชนิดไหน ? |
ต/ |
บาตรที่ทรงอนุญาต มี ๒ ชนิด ฯ คือ ๑. บาตรดินเผา ๒. บาตรเหล็ก ฯ บาตรแสตนเลสจัดเข้าในบาตรเหล็ก ฯ |
๙. | คําว่า ถือนิสัย ในพระวินัย หมายความว่าอะไร ? |
ต/ | คำว่า ถือนิสัย หมายความว่า ยอมตนอยู่ในความปกครองของพระเถระผู้มีคุณสมบัติสามารถปกครองตนได้ให้ท่านปกครอง พึ่งพิงพํานักอาศัยท่าน ฯ |
๑๐. | นิสัยระงับ กับ นิสัยมุตตกะ มีอธิบายอย่างไร ? |
ต/ |
นิสัยระงับ หมายถึง การที่ภิกษุผู้ถือนิสัยขาดจากปกครอง เช่น อุปัชฌาย์มรณภาพ เป็นต้น นิสัยมุตตกะ หมายถึง ภิกษุผู้ได้พรรษา ๕ แล้ว และมีคุณสมบัติพอรักษาตนได้เมื่ออยู่ตามลำพัง ทรงพระอนุญาตให้พ้นจากนิสัย ฯ |
๑๑. | ภิกษุเช่นไร ชื่อว่า นวกะ มัชฌิมะ เถระ ? |
ต/ |
นวกะ คือ ภิกษุมีพรรษาไม่ถึง ๕ มัชฌิมะ คือ ภิกษุมีพรรษาตั้งแต่ ๕ ขึ้นไป แต่ยังไม่ถึง ๑๐ ต้องประกอบด้วยคุณธรรมตามพระวินัย เถระ คือ ภิกษุมีพรรษาตั้งแต่ ๑๐ ขึ้นไป ต้องประกอบด้วยคุณธรรมตามพระธรรมวินัย ฯ |
๑๒. | ภิกษุเช่นไรควรได้ นิสัยมุตตกะ ? |
ต/ |
ภิกษุผู้ควรได้นิสัยมุตตกะ คือ ๑. เป็นผู้มีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ สติ ๒. เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล อาจาระ ความเห็นชอบ เคยได้ยินได้ฟังมามาก มีปัญญา ๓. รู้จักอาบัติ มิใช่อาบัติ อาบัติเบา อาบัติหนัก จําพระปาฏิโมกข์ได้แม่นยําทั้งมีพรรษาพ้น ๕ ฯ |
๑๓. | ภิกษุผู้ได้ชื่อว่า วตฺตสมฺปนฺโน ผู้ถึงพร้อมด้วยวัตร วัตรมีอะไรบ้าง ? |
ต/ |
วัตร มี ๓ ประการ คือ ๑) กิจวัตร ว่าด้วยกิจอันควรทำ ๒) จริยาวัตร ว่าด้วยมารยาทอันควรประพฤติ ๓) วิธีวัตร ว่าด้วยแบบอย่าง ฯ |
๑๔. | คำว่า ภิกษุจับต้องวัตถุเป็นอนามาส “วัตถุอนามาส” คืออะไร ? เป็นอาบัติอะไร ? |
ต/ |
วัตถุอนามาส คือ สิ่งที่ภิกษุไม่ควรจับต้อง ฯ ภิกษุจับต้องมาตุคาม เป็นอาบัติสังฆาทิเสส ถุลลัจจัย และทุกกฏตามประโยค จับต้องบัณเฑาะก์ด้วยความกำหนัดเป็นอาบัติถุลลัจจัย นอกนั้นเป็นวัตถุแห่งอาบัติทุกกฎทั้งหมด ฯ |
๑๕. | การลุกยืนขึ้นรับ เป็นกิจที่ผู้น้อยพึงทำแก่ผู้ใหญ่ จะปฏิบัติอย่างไรจึงไม่ขัดต่อพระวินัย ? |
ต/ | นั่งอยู่ในสำนักผู้ใหญ่ ไม่ลุกรับผู้น้อยกว่าท่าน นั่งเข้าแถวในบ้าน เข้าประชุมสงฆ์ในอาราม ไม่ลุกรับท่านผู้ใดผู้หนึ่ง ฯ |
๑๖. | ภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะ ไปสู่อาวาสอื่นพึงประพฤติอย่างไร จึงจะถูกธรรมเนียมตามพระวินัย ? |
ต/ |
พึงประพฤติ ดังนี้ ๑. ทำความเคารพในท่าน ๒. แสดงความเกรงใจเจ้าของถิ่น ๓. แสดงอาการสุภาพ ๔. แสดงอาการสนิทสนมกับเจ้าของถิ่น ๕. ถ้าจะอยู่ที่นั่น ควรประพฤติให้ถูกธรรมเนียมของเจ้าของถิ่น ๖. ถือเสนาสนะแล้วอย่าดูดาย เอาใจใส่ชำระปัดกวาดให้หมดจด จัดตั้งเครื่องเสนาสนะให้เป็นระเบียบ ฯ |
๑๗. | ภิกษุอยู่ในกุฎิเดียวกันกับภิกษุผู้มีพรรษามากกว่า ควรปฏิบัติตนอย่างไร จึงชื่อว่าแสดงความเคารพท่านตามพระวินัย ? |
ต/ | ควรปฏิบัติตนอย่างนี้ คือ จะทําสิ่งใดๆ ควรขออนุญาตท่านก่อน เช่น จะสอนธรรม จะอธิบายความ จะสาธยาย จะแสดงธรรม จะเปิดหรือปิดไฟ จะเปิดหรือปิดหน้าต่าง มิให้ทําตามอําเภอใจ ฯ |
๑๘. | ดิถีที่กำหนดให้เข้าจำพรรษาในบาลีกล่าวไว้เท่าไร ? อะไรบ้าง ? |
ต/ |
กล่าวไว้ ๒ ฯ คือ ๑. ปุริมิกาวัสสูปนายิกา วันเข้าพรรษาต้น คือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ๒. ปัจฉิมิกาวัสสูปนายิกา วันเข้าพรรษาหลัง คือ วันแรม ๑ ค่ํา เดือน ๙ ฯ |
๑๙. | ในวัดหนึ่งมีภิกษุอยู่กัน ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป ๑ รูป เมื่อถึงวันอุโบสถพึงปฏิบัติอย่างไร ? |
ต/ |
มีภิกษุ ๔ รูป พึงประชุมกันในอุโบสถ สวดปาติโมกข์ มีภิกษุ ๓ รูป พึงประชุมกันทำปาริสุทธิอุโบสถ รูปหนึ่งสวดประกาศญัตติจบแล้ว แต่ละรูปพึงบอกความบริสุทธิ์ของตน มีภิกษุ ๒ รูป ไม่ต้องตั้งญัตติ พึงบอกความบริสุทธิ์ แก่กันและกัน มีภิกษุ ๑ รูป พึงอธิษฐาน หรือมีภิกษุต่ำกว่า ๔ รูป จะไปทำสังฆอุโบสถกับสงฆ์ในอาวาสอื่น ก็ควร ฯ |
๒๐. | กําลังสวดพระปาฏิโมกข์อยู่ หากมีภิกษุอื่นเข้ามา จะปฏิบัติอย่างไร ? |
ต/ |
ปฏิบัติอย่างนี้ คือ ถ้าภิกษุผู้เข้ามาใหม่มากกว่าภิกษุผู้ชุมนุมต้องสวดตั้งต้นใหม่ ถ้าเท่ากันหรือน้อยกว่า ส่วนที่สวดไปแล้วก็ให้เป็นอันสวดแล้ว ให้เธอผู้มาใหม่ฟังส่วนที่ยังเหลือต่อไป ฯ |
๒๑. | ปวารณา คืออะไร ? มีพระพุทธานุญาตให้ทำในวันไหน ? |
ต/ |
ปวารณา คือ การบอกให้โอกาสแก่ภิกษุทั้งหลายเพื่อปรารถนาตักเตือนว่ากล่าวตนได้ ฯ มีพระพุทธานุญาตให้ทำในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ซึ่งเป็นวันเต็ม ๓ เดือน แต่วันจำพรรษา ฯ |
๒๒. | อุปปถกิริยา คืออะไร ? มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง |
ต/ |
อุปปถกิริยา คือ การทำนอกรีตนอกรอยของสมณะ ฯ มี ๓ อย่าง ฯ ได้แก่ ๑) อนาจาร ได้แก่ ความประพฤติไม่ดีไม่งาม ๒) ปาปสมาจาร ได้แก่ ความประพฤติเลวทราม ๓) อเนสนา ได้แก่ ความหาเลี้ยงชีพไม่สมควร ฯ |
๒๓. | ภิกษุได้ชื่อว่า “กุลทูสโก ผู้ประทุษร้ายสกุล” เพราะประพฤติอย่างไร ? |
ต/ | เพราะประพฤติให้เขาเสียศรัทธาเลื่อมใส คือ เป็นผู้ประจบเขาด้วยกิริยาทำตนอย่างคฤหัสถ์ ยอมตนให้เขาใช้สอย หรือด้วยอาการเอาเปรียบโดยเชิงให้สิ่งของเล็กน้อย ด้วยหวังได้มาก ฯ |
๒๔. | ภิกษุได้ชื่อว่า “กุลปสาทโก ผู้ยังตระกูลให้เลื่อมใส” เพราะมีปฏิปทาอย่างไร ? |
ต/ | เพราะมีปฏิปทาอย่างนี้ คือ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอาจาระ ไม่ทอดตนเป็นคนสนิทของสกุลโดยฐานเป็นคนเลว และอีกอย่างหนึ่ง ไม่รุกรานตัดรอนเขา แสดงเมตตาจิตต่อเขา ประพฤติพอดีพองาม ยังความเลื่อมใสนับถือของเขาให้เกิดในตน ฯ |
๒๕. | เภสัช ๕ มีอะไรบ้าง จัดเป็นกาลิกอะไร ? |
ต/ |
เภสัช ๕ มี เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ฯ เภสัช ๕ จัดเป็นสัตตาหกาลิก ฯ |
๒๖. | ยาวกาลิก กับ ยาวชีวิก ต่างกันอย่างไร ? |
ต/ |
ต่างกันอย่างนี้ คือ ยาวกาลิก คือ ของที่ใช้บริโภคเป็นอาหาร บริโภคได้ชั่วคราว คือ ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงวัน ได้แก่ โภชนะ ๕ มี นมสด นมส้ม ของขบเคี้ยว เป็นต้น ฯ ยาวชีวิก เป็นของที่ให้ประกอบเป็นยา บริโภคได้เสมอไปไม่มีจำกัดเวลา แต่เมื่อมีเหตุจึงบริโภคได้ ได้แก่ รากไม้ น้ำฝาดใบไม้ ผลไม้ ยางไม้ เกลือ เป็นต้น ฯ |
๒๗. | ภัตตุทเทสกะ จีวรภาชกะ และอัปปมัตตกวิสัชชกะ หมายถึง ภิกษุผู้มีหน้าที่อะไร ? |
ต/ |
ภัตตุทเทสกะ หมายถึง ภิกษุผู้มีหน้าที่แจกภัตตาหาร ตลอดถึงรับนิมนต์ของทายกแล้วจัดส่งพระไปให้ จีวรภาชกะ หมายถึง ภิกษุผู้มีหน้าที่แจกจีวร อัปปมัตตกวิสัชชกะ หมายถึง ภิกษุผู้มีหน้าที่แจกเภสัชและบริขารเล็กน้อย ฯ |
๒๘. | ลักษณะถือวิสาสะที่มาในพระบาลีมีอะไรบ้าง ? |
ต/ |
ลักษณะการถือวิสาสะในบาลี มีองค์ ๕ คือ ๑. เป็นผู้เคยได้เห็นกันมา ๒. เป็นผู้เคยคบกันมา ๓. ได้พูดกันไว้ ๔. ยังมีชีวิตอยู่ ๕. รู้ว่าของของผู้นั้น เราถือเอาแล้วเขาจักพอใจ |
๒๙. | สภาคาบัติ คืออาบัติเช่นไร ? ภิกษุต้องสภาคาบัติ จะพึงปฏิบัติอย่างไร ? |
ต/ |
สภาคาบัติ คือ อาบัติที่ภิกษุต้องเหมือนกันเพราะล่วงละเมิดสิกขาบทเดียวกัน ห้ามไม่ให้แสดง ห้ามไม่ให้รับ ให้แสดงในสำนักของภิกษุอื่น ฯ ถ้าสงฆ์ต้องสภาคาบัติทั้งหมดต้องส่งภิกษุรูปหนึ่งไปแสดงในที่อื่น ภิกษุที่เหลือจึงแสดงในสำนักของภิกษุนั้น ฯ |
๓๐. | จีวรที่วิกัปไว้ เมื่อจะนำมาใช้ต้องทำอย่างไร ? ถ้าไม่ทำเช่นนั้นต้องอาบัติอะไร ? |
ต/ |
จีวรที่วิกัปไว้ เมื่อจะนำมาใช้ต้องขอให้ผู้รับถอนก่อน ฯ ถ้าไม่ทำเช่นนั้นต้อง อาบัติปาจิตตีย์ ฯ |
๓๑. | สมบัติของภิกษุในทางพระวินัยมีเท่าไร ? อะไรบ้าง ? |
ต/ |
สมบัติของภิกษุในทางพระวินัยมี ๔ อย่าง คือ ๑. สีลสมบัติ ๒. อาจารสมบัติ ๓. ทิฏฐิสมบัติ ๔. อาชีวสมบัติ ฯ |
๓๒. | ภิกษุผู้ได้ชื่อว่า ประดับพระศาสนาให้รุ่งเรือง เพราะประพฤติปฏิบัติเช่นไร ? จงชี้แจง |
ต/ | เพราะมีความประพฤติปฏิบัติ สุภาพเรียบร้อย สมบูรณ์ด้วยอภิสมาจาริกวัตร เว้นจากบุคคล และสถานที่ไม่ควรไป คือ อโคจร เป็นผู้ได้ชื่อว่า อาจารโคจรสัมปันโน ผู้ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร อันเป็นคู่กับคุณบทว่า สีลสัมปันโน ผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ฯ |