เก็งข้อสอบนักธรรมชั้นเอก วิชาพุทธานุพุทธประวัติ ปีพ.ศ.2568

เก็งข้อสอบธรรมสนามหลวง นักธรรมชั้นเอก วิชาพุทธานุพุทธประวัติ ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๘ มีทั้งหมด ๒๙ ข้อ ดังนี้ |
|
---|---|
๑. | พุทธานุพุทธประวัติให้ความรู้แก่ผู้ศึกษาทางใดบ้าง ? จงอธิบายพอได้ใจความ |
---|---|
ต/ |
๑. ทางประวัติศาสตร์ เช่นความเป็นไปของบ้านเมืองในครั้งพุทธกาล และลัทธิธรรมเนียมของประชาชนในสมัยนั้น ๒. ทางจรรยาของพระพุทธเจ้าและจรรยาของเหล่าพระอริยสาวก ๓. ทางธรรมวินัยที่ปรากฏในตำนานและความเป็นมาแห่งศาสนธรรม พร้อมทั้งตัวอย่างการบำรุงพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง ฯ |
๒. | ศากยวงศ์สืบเชื้อสายมาจากใคร ? ที่ได้นามว่า ศากยะ เพราะเหตุไร ? |
ต/ |
ศากยวงศ์สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าโอกกากราช ฯ ที่ได้นามว่า ศากยะ เพราะเหตุ ๒ ประการ คือ ๑) เพราะได้ชื่อตามชนบทที่ตั้งเมือง ๒) เพราะมีความกล้าหาญ สามารถตั้งเมืองได้เอง ฯ |
๓. | พระพุทธองค์ทรงยืนยันพระองค์เองว่า เป็นสัมมาสัมพุทธะ เพราะทรงอาศัยอะไร ? |
ต/ | เพราะทรงอาศัยเหตุที่ตรัสรู้อริยสัจ ๔ อันมีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อย่างแจ่มแจ้ง ครบถ้วนทุกประการ จึงทรงปฏิญาณพระองค์ว่า เป็นสัมมาสัมพุทธะ ฯ |
๔. | ข้ออุปมาว่า “ไม้แห้งที่วางไว้บนบก ไกลน้ำ สามารถสีให้เกิด ไฟได้” เกิดขึ้นแก่ใคร ? โดยนำไปเปรียบกับอะไร ? |
ต/ |
เกิดขึ้นแก่พระมหาบุรุษ คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฯ โดยทรงนำไปเปรียบกับสมณพราหมณ์ทั้งหลายว่า สมณพราหมณ์บางพวกมีกายหลีกออกจากกาม ใจก็ละความรักใคร่ในกาม สงบดีแล้ว หากพากเพียรพยายามอย่างถูกต้องย่อมสามารถตรัสรู้ธรรมได้ฯ |
๕. | ภัพพบุคคล คือบุคคลเช่นใด ? ประเภทที่ ๑ ท่านเปรียบด้วยอะไร ? |
ต/ |
พพบุคคล คือบุคคลผู้สามารถจะตรัสรู้ธรรมได้ ฯ ประเภทที่ ๑ อุคฆติตัญญู ท่านเปรียบด้วยดอกบัวพ้นน้ำ เมื่อต้องแสงพระอาทิตย์ ก็จักบานในวันนั้น ฯ |
๖. | พระพุทธเจ้าหลังจากได้ตรัสรู้แล้ว ทรงเปล่งอุทานในยามสุดท้ายว่าอย่างไร ? |
ต/ | ทรงเปล่งอุทานว่า เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้นพราหมณ์นั้น ย่อมกําจัดมารและเสนามารเสียได้ ดุจพระอาทิตย์อุทัยกําจัดมืดให้สว่างฉะนั้น ฯ |
๗. | อนิมิสเจดีย์และรัตนจงกรมเจดีย์ เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงกระทำกิจอะไร ? |
ต/ |
อนิมิสเจดีย์ เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าประทับยืนจ้องดูต้นพระมหาโพธิ์ โดยมิได้กระพริบพระเนตรตลอด ๗ วัน รัตนจงกรมเจดีย์ เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงนิรมิตที่จงกรมขึ้นแล้วเสด็จจงกรม ณ ที่นั้นตลอด ๗ วัน ฯ |
๘. | พระอัสสชิแสดงธรรมแก่อุปติสสปริพาชกมีความว่าอย่างไร ? และมีผลอย่างไร ? |
ต/ |
ความว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุแห่ง ธรรมนั้นและความดับแห่งธรรมนั้น พระศาสดาทรงสอนอย่างนี้ ฯ มีผล คือ อุปติสสปริพาชกได้ดวงตาเห็นธรรมว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา ฯ |
๙. | พระมหากัสสปะเถระประพฤติธุดงควัตรเพราะเห็นอำนาจประโยชน์อย่างไร ? |
ต/ |
เพราะเห็นอำนาจประโยชน์ ๒ อย่างคือ ๑. การอยู่เป็นสุขในบัดนี้ของตน ๒. เพื่ออนุเคราะห์ประชุมชนในภายหลัง จะได้เป็นทิฏฐานุคติ แห่งผู้เกิดในภายหลัง ฯ |
๑๐. | พระพุทธเจ้าตรัสสอนพระราธะว่า “สิ่งใดเป็นมาร ท่านจงละความกำหนัดพอใจในสิ่งนั้นเสีย” มารในที่นี้ หมายถึงอะไร ? |
ต/ | มาร หมายถึง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ฯ |
๑๑. | โอวาทปาฏิโมกข์มีใจความย่อว่าอย่างไร ? ทรงแสดงที่ไหน ? |
ต/ |
มีใจความย่อว่า ไม่ทําบาปทั้งปวง ทํากุศลให้ถึงพร้อม ทําใจให้บริสุทธิ์ ฯ ทรงแสดงที่วัดเวฬุวนาราม กรุงราชคฤห์ ฯ |
๑๒. | ธรรมจักษุหมายถึงอะไร ? ใครได้บรรลุเป็นองค์แรก ? |
ต/ |
ธรรมจักษุ หมายถึง ดวงตาเห็นธรรม ได้แก่ โสดาปัตติมรรค ฯ พระอัญญาโกณฑัญญะได้บรรลุเป็นองค์แรก ฯ |
๑๓. | พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญพระสาวกองค์ใดว่า “ไม่ทำศรัทธาและโภคทรัพย์ของตระกูลให้เสีย” ? และทรงอุปมาเปรียบเทียบว่าอย่างไร ? |
ต/ |
ทรงสรรเสริญพระโมคคัลลานะ ฯ ว่า “ประหนึ่งแมลงผึ้งอันเที่ยวไปในสวนดอกไม้ ไม่ทำสีและกลิ่นของดอกไม้ให้ช้ำ ถือเอาแต่รสบินไป ฉะนั้น ฯ |
๑๔. | ปัญหาว่า “โลกคือหมู่สัตว์อันอะไรปิดบังไว้จึงหลงดุจอยู่ในที่มืด” ดังนี้ใครเป็นผู้ถาม ? ได้รับคําพยากรณ์ว่าอย่างไร ? |
ต/ |
อชิตมาณพเป็นผู้ถาม ฯ ได้รับการพยากรณ์ว่า โลกคือหมู่สัตว์ อันอวิชชาคือความไม่รู้แจ้งปิดบังไว้ จึงหลงดุจอยู่ในที่มืด ฯ |
๑๕. | อาทิตตปริยายสูตร มีใจความโดยย่อว่าอย่างไร ? |
ต/ | อาทิตตปริยายสูตร มีใจความโดยย่อว่า อายตนะภายใน อายตนะ ภายนอก วิญญาณ สัมผัส และเวทนาที่เกิดแต่สัมผัส เป็นของร้อน ร้อนเพราะไฟ คือ ราคะ โทสะ โมหะ และร้อนเพราะ ความเกิด ความแก่ ความตาย ความโศก ร่ำไรรำพัน เจ็บกาย เสียใจ คับใจ ฯ |
๑๖. | “ท่านประพฤติพรหมจรรย์เพื่ออะไร” ใครเป็นผู้ถาม ใครเป็นผู้ตอบ ? และตอบว่าอย่างไร ? |
ต/ |
พระสารีบุตรเป็นผู้ถาม พระปุณณมันตานีบุตรเป็นผู้ตอบ ฯ ตอบว่า เราประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความดับไม่มีเชื้อ ฯ |
๑๗. | พระพุทธพจน์ว่า “ภทฺเทกรตฺโต” ผู้มีราตรีเดียวอันเจริญ หมายถึง การปฏิบัติอย่างไร ? พระสาวกรูปใดอธิบายพระพุทธพจน์นี้ ? |
ต/ |
หมายถึง เป็นผู้มีความเพียร ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวัน และกลางคืน อยู่ด้วยความไม่ประมาท ฯ พระมหากัจจายนะ เป็นผู้อธิบายพระพุทธพจน์นี้ ฯ |
๑๘. | พระภัททิยะ มักเปล่งอุทานเนืองๆ ว่า “สุขหนอ ๆ” ดังนี้ เพราะอะไร ? |
ต/ | เพราะเมื่อก่อนท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ต้องจัดการรักษาป้องกันทั้งในวังนอกวัง ทั้งในเมืองนอกเมือง จนตลอดทั่วอาณาเขต แม้มีคนคอยรักษาอย่างนี้แล้ว ยังต้องหวาดระแวงสะดุ้งกลัวอยู่เป็นนิตย์ ครั้นทรงออกบวชได้บรรลุอรหัตผลแล้ว แม้อยู่ในที่ไหนๆ ก็ไม่หวาดระแวง ไม่สะดุ้งกลัว ไม่ต้องขวนขวาย มีใจปลอดโปร่ง เป็นอิสระแก่ตน จึงเปล่งอุทานเช่นนั้น ฯ |
๑๙. | พุทธจักษุ กับธรรมจักษุ ต่างกันอย่างไร ? แต่ละอย่างใครได้บรรลุเป็นองค์แรก ? |
ต/ |
พุทธจักษุ คือ จักษุของพระพุทธเจ้า หมายถึง พระปัญญาของพระพุทธองค์ ที่ทรงพิจารณาเห็นอุปนิสัยแห่งเวไนยสัตว์
ธรรมจักษุ หมายถึง ดวงตาเห็นธรรม ได้แก่ โสดาปัตติมรรค ฯ พุทธจักษุ พระพุทธเจ้าได้เป็นพระองค์แรกและพระองค์เดียว ธรรมจักษุ พระอัญญาโกณฑัญญะได้บรรลุเป็นองค์แรก ฯ |
๒๐. |
พระสาวกต่อไปนี้ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในทางใด ? ๑. พระมหากัสสปะเถระ ๒. พระมหากัจจายนะ ๓. พระโมฆราชเถระ ๔. พระโสณกุฏิกัณณเถระ ๕. พระราหุลเถระ |
ต/ |
๑. พระมหากัสสปะเถระ เป็นผู้เลิศในทางถือธุดงค์ ๒. พระมหากัจจายนะ เป็นผู้เลิศในทางอธิบายคำย่อให้พิสดาร ๓. พระโมฆราชเถระ เป็นผู้เลิศในทางทรงจีวรเศร้าหมอง ๔. พระโสณกุฏิกัณณเถระ เป็นผู้เลิศในทางมีวาจาไพเราะ ๕. พระราหุลเถระ เป็นผู้เลิิศในทางเป็นผู้ใคร่ในการศึกษา ฯ |
๒๑. | “สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่ข้าพเจ้า ๆ ไม่ชอบใจหมด” เป็นคำพูดของใคร ? พระพุทธองค์ตรัสตอบว่าอย่างไร ? |
ต/ |
เป็นคำพูดของ ทีฆนขะอัคคิเวสสนโคตร ฯ ตรัสตอบว่า ถ้าอย่างนั้น ความเห็นอย่างนั้น ก็ต้องไม่ควรแก่ท่าน ท่านก็ต้องไม่ชอบความเห็นอย่างนั้น ฯ |
๒๒. | อาสยะ และ ปโยคะ ในสัตตูปการสัมปทา หมายถึงอะไร ? |
ต/ |
อาสยะ หมายถึง ความมีพระหฤทัยเยือกเย็น ด้วยความกรุณาปรารถนาคุณประโยชน์อยู่เป็นนิตย์ แม้ในบุคคลที่ทําผิดต่อพระองค์ มีพระเทวทัตเป็นต้น ก็ยังทรงกรุณา ฯ ปโยคะ หมายถึง ความมีพระหฤทัยมิได้มุ่งหวังต่ออามิส เทศนาสั่งสอนสัตว์ ด้วยข้อปฏิบัติ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ฯ |
๒๓. | พระอานนท์พุทธอุปัฏฐากได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่าเลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ด้วยคุณสมบัติอะไรบ้าง ? |
ต/ |
ด้วยคุณสมบัติ ๕ ประการ คือ ๑. เป็นพหูสูต ๒. มีสติ ๓. มีคติ ๔. มีธิติ ๕. เป็นพุทธอุปัฏฐาก ฯ |
๒๔. | การอุปสมบทสำหรับพระภิกษุในครั้งพุทธกาลมีทั้งหมดกี่วิธี ? อะไรบ้าง ? ในปัจจุบันใช้วิธีใด ? |
ต/ |
มี ๓ วิธี ฯ คือ ๑) เอหิภิกขุอุปสัมปทา ๒) ติสรณคมนูปสัมปทา ๓) ญัตติจตุตถกรรมอุปสัมปทา ฯ ปัจจุบันใช้วิธี ญัตติจตุตถกรรมอุปสัมปทา ฯ |
๒๕. | การปลงอายุสังขาร หมายถึงอะไร ? พระพุทธเจ้าทรงกระทำที่ไหน ? |
ต/ |
การปลงอายุสังขาร หมายถึง การที่พระพุทธเจ้าทรงกำหนดวันปรินิพพาน ฯ ทรงกระทำที่ปาวาลเจดีย์ เมืองไพศาลี ฯ |
๒๖. | ถูปารหบุคคล คือใคร ? มีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? |
ต/ |
ถูปารหบุคคล คือ บุคคลผู้ควรแก่การบรรจุอัฐิธาตุไว้ในสถูปเพื่อสักการะบูชา ฯ มี ๔ ประเภท ฯ คือ ๑) พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒) พระปัจเจกพุทธเจ้า ๓) พระอรหันตสาวก ๔) พระเจ้าจักรพรรดิราช ฯ |
๒๗. | พระมหากัสสปะเถระชักชวนภิกษุทั้งหลายให้ทำสังคายนาครั้งแรก เพราะปรารภเหตุอะไร ? |
ต/ |
เพราะปรารภเหตุ ๒ ประการ คือ ๑. ระลึกถึงคำของสุภัททวุฑฒบรรพชิตกล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัย ๒. ระลึกถึงอุปการคุณของพระพุทธเจ้าที่มีอยู่แก่ตน ฯ |
๒๘. | สุภัททวุฑฒบรรพชิต กล่าวจาบจ้วงพระธรรมวินัยว่าอย่างไร ? และทำให้เกิดเหตุการณ์อะไรในกาลต่อมา ? |
ต/ |
กล่าวว่า “เราทั้งหลายพ้นดีแล้วจากพระสมณะนั้น บัดนี้ เราพอใจจะทำสิ่งใดก็ทำ หรือ มิพอใจทำสิ่งใดก็ไม่ต้องทำ” ฯ เป็นเหตุให้เกิดสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๑ ฯ |
๒๙. | การทำสังคายนาครั้งแรก ใครทำหน้าที่ปุจฉาและวิสัชนา ? และทำที่ไหน ? |
ต/ |
พระมหากัสสปะทำหน้าที่ปุจฉา พระอุบาลีทำหน้าที่วิสัชนาพระวินัย พระอานนท์ทำหน้าที่วิสัชนาพระสูตร และพระอภิธรรม ฯ ทำที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา ฯ |