tag:blogger.com,1999:blog-29830538553788283332024-03-13T17:06:05.855+07:00ปวิชฺโช | ติวเข้มเตรียมสอบธรรมสนามหลวงปวิชฺโช:ติวเข้มเตรียมสอบธรรมสนามหลวง รวมเก็งข้อสอบนักธรรมและธรรมศึกษาชั้นตรี ชั้นโท ชั้นเอก ติวเข้มเตรียมสอบธรรมสนามหลวงทุกระดับชั้นปีUnknownnoreply@blogger.comBlogger176125tag:blogger.com,1999:blog-2983053855378828333.post-79500900578762837732023-12-04T08:13:00.007+07:002023-12-04T16:24:24.021+07:00เฉลยปัญหาข้อสอบวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖<img alt="เฉลยปัญหาข้อสอบวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1080" data-original-width="1920" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjdhJqbBddapjB-MR_Hd5uxF5Ce4QTdcMHuGDGT59w2_dv975tMkII_ffvNMi7q0XvIFg4VRoiNYFbxh9No7DK7sKq7lsiNII6Pxdyqmt6lIOadUKRwcbs7vdL_JYGmiP9NF3PvC3_TBTQBYk1yWb1nbpe7Awyx4645iOpPVlR89EG2VIElPyV50nRdjxc/s1600-rw/winai-naktharm-ek-2566.webp" title="ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖"/>
<br />
<br />
<img alt="ปัญหาข้อสอบวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1890" data-original-width="1337" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg_5OMdCXGSwlfNJ1Va45YwAzSP6ggbw6CMXo6Jk8DeNNjRRPEai_bBTdfLOZgJ1x8SnHYfz0_AMI0mjo7kHr-HZn0_E4a4rsrjw3luqrzoJ0m-vW4fb2D1Et3RQLkwtSrHgjuSX0bSiOUbKygGUWWfzvr9nxp1DCuHyX837xVppxP_ZmNr_Ugd6KQVyVs/s1600-rw/winai-ek-01.webp" title="ปัญหาวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖"/>
<br />
<style>
.list-container ol {
max-width: 100%;
font-family: "Roboto", sans-serif;
margin: 32px auto;
line-height: 1.8;
list-style: none;
counter-reset: list-counter;
}
.list-container img {
width: 100%;
border-radius: 8px;
margin: 20px 0;
}
.list-container li {
margin: 45px 28px;
position: relative;
}
.list-container li::before {
content: counter(list-counter);
counter-increment: list-counter;
position: absolute;
top: 0;
left: -50px;
border: 2px solid #cc0000;
border-radius: 50%;
width: 25px;
height: 25px;
display: flex;
align-items: center;
justify-content: center;
font-weight: bold;
background: #fff;
transition: all 200ms ease;
}
.list-container li:hover::before {
background: #ff9900;
color: #fff;
}
.list-container li::after {
content: "";
position: absolute;
left: -34px;
top: 42px;
height: calc(100% - 30px);
width: 1px;
background: #000;
}
.list-container li:last-child::after {
height: calc(100% - 50px);
}
.post-body ol>li:before {
content: counters(ify, '.') '.';
margin: 0 5px 0 0;
font-size: 12px;
}
#myImg1 {
border-radius: 12px;
}
</style>
<img alt="เฉลยปัญหาข้อสอบวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1890" data-original-width="1337" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgcc8CnSenj4XWlMZRYhlS4pN7fsjBeEnUdrJt9GjCj-MnKMe6GW_6Cs4GGlJw3typEPs5EfPaeyuXaJWRjzOVOl8OQQoqDABPpZd_ut0L-PvNl1uGikHBYHFwGbCUwP_Uo6Z2q631TDVTI1oc-uYtmGNpfYvbAQjoAJbppnyVMaTABNifR0WYt5j8Nwns/s1600-rw/winai-ek-02.webp" title="ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖"/><img alt="เฉลยปัญหาข้อสอบวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1890" data-original-width="1337" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEifcyx1d6hAxiMtIKwZxSID5NLq49U5L2Zt1JlsPKguTSyvnqiGJnovacFoXcBsOUEPZRvoKekcMjB-aC0Q8BPrXH5h2LxTljVVfkPB4wAfRoUNnlAKaaHSSKSKRFGKxQppe2uQShZL9KJgMcoMvYskZPeRbowxfk6QJa5GdCllWRJhefVb0TBWocwKo6s/s1600-rw/winai-ek-03.webp" title="ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖"/><img alt="เฉลยปัญหาข้อสอบวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1890" data-original-width="1337" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi_MQUaY0klG6HjFQhUxXUqZ-DlBZITU4asOL9csAvSOvjnVzDXU3ciD3slKa5sffJCTklnim_WzWhrvkgfCkIGBHxqKi2RLazdcCS1jWCEcYJvr2e7_fhtsDTYEScjiwW1wqdbKzl7ObYsarINGCI98pmdI8IN3VVYDlZ06dy8k8SNnS3z-GzVGhE5VEw/s1600-rw/winai-ek-04.webp" title="ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖"/>
<br/>
<br/>
<br/>
<center><h2>ปัญหาเฉลยข้อสอบวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖</h2></center>
<div class="list-container">
<ol>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
สังฆกรรมมีอะไรบ้าง ? สังฆกรรมอะไรที่สงฆ์จตุวรรคทำไม่ได้ ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> สังฆกรรม มี<br/>
๑. อปโลกนกรรม<br/>
๒. ญัตติกรรม<br/>
๓. ญัตติทุติยกรรม<br/>
๔. ญัตติจตุตถกรรม ฯ<br/>
ปวารณา ให้ผ้ากฐิน อุปสมบท และอัพภาน สงฆ์จตุวรรคทำไม่ได้ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
สีมามีกี่ประเภท ? วิสุงคามสีมา จัดเข้าในประเภทไหน ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> สีมา มี ๒ ประเภท คือ พัทธสีมา อพัทธสีมา ฯ<br/>
วิสุงคามสีมา เมื่อสงฆ์ยังไม่ผูก จัดเป็นอพัทธสีมา ครั้นสงฆ์ผูกแล้ว จัดเป็นพัทธสีมา ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
เจ้าอธิการตามพระวินัย หมายถึงใคร ? สงฆ์พึงสวดสมมติเจ้าอธิการด้วยกรรมวาจาประเภทใด ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> หมายถึง ภิกษุผู้ได้รับสมมติจากสงฆ์ให้เป็นเจ้าหน้าที่ทำการสงฆ์นั้น ๆ ฯ<br/>
พึงสวดสมมติด้วยญัตติทุติยกรรม ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
การอปโลกน์และการสวดกรรมวาจาให้ผ้ากฐิน จัดเป็นสังฆกรรมประเภทใด ? อย่างไหนต้องทำในสีมา อย่างไหนทำนอกสีมาก็ได้ ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> การอปโลกน์เพื่อให้ผ้ากฐิน จัดเป็นอปโลกนกรรม การสวดเพื่อให้ผ้ากฐิน จัดเป็นญัตติทุติยกรรม ฯ<br/>
การอปโลกน์เพื่อให้ผ้ากฐิน ทำในสีมาหรือนอกสีมาก็ได้ การสวดกรรมวาจาให้ผ้ากฐินต้องทำในสีมาเท่านั้น ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
ในอุปสมบทกรรม อภัพพบุคคล หมายถึงใคร ? จำแนกโดยประเภทมีอะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> อภัพพบุคคล หมายถึง บุคคลที่ทรงห้ามไม่ให้อุปสมบท ฯ<br/>
จำแนกโดยประเภทมี ๓ ได้แก่<br/>
๑. เพศบกพร่อง<br/>
๒. คนทำผิดต่อพระศาสนา<br/>
๓. ประพฤติผิดต่อกำเนิดของเขาเอง ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
ภิกษุผู้ก่อวิวาทาธิกรณ์ อย่างไรชื่อว่าปรารถนาดี อย่างไรชื่อว่าปราถนาเลว ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ผู้ก่อวิวาทาธิกรณ์เพราะเห็นแก่พระธรรมวินัย ปราศจากโลภะ โทสะ โมหะ ชื่อว่าทำด้วยปรารถนาดี<br/>
ผู้ก่อวิวาทาธิกรณ์ด้วยทิฏฐิมานะ แม้รู้ว่าผิดก็ขืนทำ ประกอบด้วยโลภะ โทสะ โมหะ ชื่อว่าทำด้วยปรารถนาเลว ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
วุฏฐานวิธี หมายถึงอะไร ? ในการทำวุฏฐานวิธีแต่ละอย่างนั้นต้องประชุมสงฆ์จำนวนเท่าไรเป็นอย่างน้อย ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> วุฏฐานวิธี หมายถึง ระเบียบวิธีเป็นเครื่องออกจากอาบัติสังฆาทิเสส ฯ<br/>
อัพภาน ต้องการสงฆ์ ๒๐ รูปเป็นอย่างน้อย นอกนั้นต้องการตั้งแต่ ๔ รูป ขึ้นไป ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
นาสนา คืออะไร ? บุคคลเช่นไรที่ทรงอนุญาตให้นาสนา ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> นาสนา คือ การยังบุคคลผู้ไม่สมควรถือเพศภิกษุและสามเณรให้สละเพศเสีย ฯ<br/>
บุคคลที่ทรงพระอนุญาตให้นาสนามี ๓ ประเภท คือ<br/>
๑. ภิกษุต้องอันติมวัตถุแล้วยังปฏิญญาตนเป็นภิกษุ<br/>
๒. บุคคลผู้อุปสมบทไม่ขึ้น ได้รับอุปสมบทแต่สงฆ์<br/>
๓. สามเณรผู้ประกอบด้วยองค์ ๑๐ ข้อใดข้อหนึ่ง เช่น เป็นผู้มักผลาญชีวิตสัตว์ เป็นต้น ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ ?
ก. ที่วัด<br/>
ข. ที่ธรณีสงฆ์<br/>
ค. ที่กัลปนา</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ก. ที่วัด คือที่ซึ่งตั้งวัดตลอดจนเขตของวัดนั้น<br/>
ข. ที่ธรณีสงฆ์ คือที่ซึ่งเป็นสมบัติของวัด<br/>
ค. ที่กัลปนา คือที่ซึ่งมีผู้อุทิศแต่ผลประโยชน์ให้วัด หรือพระศาสนา ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
เจ้าอาวาส หมายถึงใคร ? ภิกษุผู้จะดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดที่ไม่ใช่พระอารามหลวงต้องมีคุณสมบัติโดยเฉพาะอะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เจ้าอาวาส หมายถึง พระภิกษุผู้ได้รับแต่งตั้งตามกฎมหาเถรสมาคมให้เป็นพระสังฆาธิการปกครองวัดใดวัดหนึ่ง ฯ<br/>
ต้องมีคือ<br/>
๑. มีพรรษาพ้น ๕<br/>
๒. เป็นผู้ทรงเกียรติคุณ เป็นที่เคารพนับถือของคฤหัสถ์ และบรรพชิตในถิ่นนั้น ฯ
</li>
</ol>
</div>
<br/>
<center><h2>ดาวน์โหลดเฉลยข้อสอบวิชาวินัย/PDF</h2></center>
<center><iframe height="600" src="https://drive.google.com/file/d/1m10ZpiR6-czH4KsB-ui4NT-JxJLxBtJM/preview" width="900"></iframe></center>
<br/>
<br/>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2983053855378828333.post-88505484413909425992023-12-04T04:54:00.020+07:002023-12-04T19:15:21.806+07:00เฉลยปัญหาข้อสอบวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖<img alt="เฉลยปัญหาข้อสอบวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1080" data-original-width="1920" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhIHq19hj3G05Ib_toxf_XU776SgugTtadVBnCyir7a_4JpxubQeJKS9jten6TqSxpUiAs1306jdFid2NdF_NXCoDKQrIqdj9OUoHHj_nYomuu2mu0UKErxO2irs16-UpdQQkqn_hj1RH4FzSstGFuiMUVCZy-81-qL89WyTioC0vqDrI5O-mY1x6gWSWw/s1600-rw/winai-naktharm-tho-2566.webp" title="ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖"/>
<br />
<br />
<iframe allow="accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture" allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/SVGcfH7dSQc?&autoplay=1" title="เฉลยข้อสอบวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖" width="560"></iframe>
<br />
<br /><span><a name='more'></a></span>
<img alt="ปัญหาข้อสอบวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1890" data-original-width="1337" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj3Rd-uGjiYzP4LgQfwKPk_VzcC5NGSoUiDOpdhZJ_ALmoELGUXlbfAeivYfEo-0z2mJ7ckDDvT6ipnE-8XSoGcnV9JCyhN_s6mNTHeYzl_sgM1buT7U28RPlH1h1oaxmHM95MsMOBqomeaYIFW7eiWwFSFQ1ge9-ggxK76rwiuGnAz4VJD3LybBKnd3fI/s1600-rw/winai-tho-01.webp" title="ปัญหาวิชาธรรมวิภาค นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖"/>
<br />
<style>
.list-container ol {
max-width: 100%;
font-family: "Roboto", sans-serif;
margin: 32px auto;
line-height: 1.8;
list-style: none;
counter-reset: list-counter;
}
.list-container img {
width: 100%;
border-radius: 8px;
margin: 20px 0;
}
.list-container li {
margin: 45px 28px;
position: relative;
}
.list-container li::before {
content: counter(list-counter);
counter-increment: list-counter;
position: absolute;
top: 0;
left: -50px;
border: 2px solid #cc0000;
border-radius: 50%;
width: 25px;
height: 25px;
display: flex;
align-items: center;
justify-content: center;
font-weight: bold;
background: #fff;
transition: all 200ms ease;
}
.list-container li:hover::before {
background: #ff9900;
color: #fff;
}
.list-container li::after {
content: "";
position: absolute;
left: -34px;
top: 42px;
height: calc(100% - 30px);
width: 1px;
background: #000;
}
.list-container li:last-child::after {
height: calc(100% - 50px);
}
.post-body ol>li:before {
content: counters(ify, '.') '.';
margin: 0 5px 0 0;
font-size: 12px;
}
#myImg1 {
border-radius: 12px;
}
</style>
<img alt="เฉลยปัญหาข้อสอบวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1890" data-original-width="1337" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhn_dNrI1MfSzQdY3U9091HPsB581FOhqHvJTE-wOouMIzNMdPUb5UY9QMzk_6VTeqaNf5KTasLhXI422v7wnK8ihGYRtwcvq-L6FhvGr-LTjAjjQojR4YZ25tp6d4byCYFuPs5yCd231YFjbHOmY-l-NAkZl3skpM6u_S00WffDdiP-a_6e5neMc2MnQM/s1600-rw/winai-tho-02.webp" title="ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖"><img alt="เฉลยปัญหาข้อสอบวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1890" data-original-width="1337" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjqee7s8KMJe6n8JiCZvSA-WeGrKEF6mmC-qAqmQEMsibrzZzvCBS7MZnXenEOGsd7XIAbqP9BDSGCo5__L2VOB5aOE7SKP50LKS8zHfb6hEodnSCiZu31LqSPsXvUllhJhqURK-aQOKEh-L2RjjDAYy2GWutTEe9sxtsCLq84fTVg17nDHn9J0AD9Zb9Y/s1600-rw/winai-tho-03.webp" title="ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖"/><img alt="เฉลยปัญหาข้อสอบวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1890" data-original-width="1337" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiMwas5Yu23FLN1-LHYTN-IjA9IqLl9VsybHtJFIypWDL7hJ1egQQgkmDj_HAQ6clkUidRVeo0DQpPT2a2vRbk3qkxzWUKAa84M2PXSbjGQ50vDRIe-yXg1OittFoTlMU9puJ5ts0sl_vBVGi6an5DDf_ih24OTqPU8pK_td7EiljpX1-LbvxkX9FImhxk/s1600-rw/winai-tho-04.webp" title="ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖"/>
<br/>
<br/>
<center><h2>ปัญหาเฉลยข้อสอบวิชาวินัย นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖</h2></center>
<div class="list-container">
<ol>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
อภิสมาจารคืออะไร ? ภิกษุผู้ไม่เอื้อเฟื้อในอภิสมาจารมีโทษอย่างไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> อภิสมาจาร คือขนบธรรมเนียมอันดีงามของภิกษุ ฯ<br/>
มีโทษปรับอาบัติถุลลัจจัยเป็นอย่างสูง แต่มีน้อย ส่วนมากปรับอาบัติทุกกฏเป็นพื้น ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
ในกายบริหาร มีข้อปฏิบัติเกี่ยวกับหนวดและคิ้วไว้อย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เรื่องหนวด มีข้อปฏิบัติไว้ว่า อย่าพึงไว้หนวดไว้เครา คือต้องโกนเสมอ ห้ามไม่ให้แต่งหนวด และห้ามไม่ให้ตัดหนวดด้วยกรรไกร
ส่วนเรื่องคิ้ว ไม่ได้วางหลักปฏิบัติไว้ แต่พระสงฆ์ไทยนิยมโกนพร้อมกับผม ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
วัตถุอนามาส คืออะไร ? ภิกษุจับต้องวัตถุอนามาสนั้น ต้องอาบัติอะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> วัตถุอนามาส คือ สิ่งที่ภิกษุไม่ควรจับต้อง ฯ<br/>
ภิกษุจับต้องมาตุคาม เป็นอาบัติสังฆาทิเสส ถุลลัจจัย และทุกกฏ ตามประโยค<br/>
จับต้องบัณเฑาะก์ ด้วยความกําหนัด เป็นอาบัติถุลลัจจัย<br/>
นอกนั้นเป็นวัตถุแห่งอาบัติทุกกฏทั้งหมด ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
ภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะ ไปสู่อาวาสอื่น พึงประพฤติอย่างไรจึงจะถูกธรรมเนียมตามพระวินัย ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> พึงประพฤติดังนี้<br/>
๑. ทำความเคารพในท่าน<br/>
๒. แสดงความเกรงใจเจ้าของถิ่น<br/>
๓. แสดงอาการสุภาพ<br/>
๔. แสดงอาการสนิทสนมกับเจ้าของถิ่น<br/>
๕. ถ้าจะอยู่ที่นั่น ควรประพฤติให้ถูกธรรมเนียมของเจ้าของถิ่น<br/>
๖. ถือเสนาสนะแล้วอย่าดูดาย เอาใจใส่ชำระปัดกวาดให้หมดจดจัดตั้งเครื่องเสนาสนะให้เป็นระเบียบ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
ภิกษุอธิษฐานจำพรรษาแล้ว มีเหตุไปที่อื่น ผูกใจจะกลับมาให้ทันในวันนั้น แต่กลับมาไม่ทันเช่นนี้พรรษาขาดหรือไม่ ? เพราะเหตุใด ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ถ้าไปด้วยธุระที่ทรงอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะ พรรษาไม่ขาด ฯ<br/>
เพราะยังอยู่ในพระพุทธานุญาตนั้นเอง ทั้งจิตคิดจะกลับก็มีอยู่ ถ้าไปด้วยมิใช่ธุระที่เป็นสัตตาหกรณียะพรรษาขาด ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
กำลังสวดพระปาฏิโมกข์อยู่ หากมีภิกษุอื่นเข้ามาจะปฏิบัติอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ปฏิบัติอย่างนี้ คือ ถ้าภิกษุผู้เข้ามาใหม่มากกว่าภิกษุผู้ชุมนุมต้องสวดตั้งต้นใหม่ ถ้าเท่ากันหรือน้อยกว่า ส่วนที่สวดไปแล้วก็ให้เป็นอันสวดแล้ว
ให้เธอผู้มาใหม่ฟังส่วนที่ยังเหลือต่อไป ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
ปวารณา คืออะไร ? มีพระพุทธานุญาตให้ทำในวันไหน ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ปวารณา คือ การบอกให้โอกาสแก่ภิกษุทั้งหลายผู้ปรารถนาจะตักเตือนว่ากล่าวตนได้ ฯ<br/>
มีพระพุทธานุญาตให้ทำในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ซึ่งเป็นวันเต็ม ๓ เดือนแต่วันจำพรรษา ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
อเนสนาได้แก่อะไร ? มีอะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> อเนสนา ได้แก่ กิริยาแสวงหาเลี้ยงชีพในทางไม่สมควร ฯ <br/>
มี ๒ อย่าง คือ<br/>
๑. การแสวงหาเป็นโลกวัชชะ มีโทษทางโลก<br/>
๒. การแสวงหาเป็นปัณณัตติวัชชะ มีโทษทางพระบัญญัติ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
ลักษณะถือวิสาสะที่มาในพระบาลีมีอะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> มีองค์ ๕ คือ<br/>
๑. เป็นผู้เคยได้เห็นกันมา<br/>
๒. เป็นผู้เคยคบกันมา<br/>
๓. ได้พูดกันไว้<br/>
๔. ยังมีชีวิตอยู่<br/>
๕. รู้ว่าของของผู้นั้น เราถือเอาแล้วเขาจักพอใจ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
ภิกษุจะเปลี่ยนไตรครอง พึงปฏิบัติอย่างไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ให้ทำการถอนอธิษฐานของเดิมเสียก่อน แล้วจึงอธิษฐานใช้ของใหม่ ฯ<br/>
คือ ต้องปัจจุธรณ์คือถอนอธิษฐานผืนเก่าก่อน แล้วทำพินทุและอธิษฐานผืนใหม่<br/><br/>
<i>(หากจะเขียนตอบแบบละเอียดดังนี้)</i><br/>
ภิกษุจะเปลี่ยนไตรครอง พึงปฏิบัติตามลำดับ ดังนี้<br/>
๑. กรณีปกติเมื่อถึงเวลาเปลี่ยนจีวรเก่า จีวรกฐิน ต้องกล่าวคำ สละผ้าเสียก่อนแล้วทำพินทุ แล้วก็อธิษฐานผ้าตามชื่อ จีวร สังฆาฏิ สบง ตามภาษาบาลี<br/>
๒. กรณีจีวรถูกขโมยไปหรือสูญหายต้องกล่าวคำถอนเสียก่อน ทำความอาลัย แล้วนำผ้าผืนใหม่มาทำพินทุ อธิษฐานตามลำดับ
</li>
</ol>
</div>
<br/>
<center><h2>ดาวน์โหลดเฉลยข้อสอบวิชาวินัย/PDF</h2></center>
<center><iframe height="600" src="https://drive.google.com/file/d/1tCY7DV7WwgMlSCkpjNE_-ubvpNEnQNqg/preview" width="900"></iframe></center>
<br/>
<br/>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2983053855378828333.post-1073775481544183212023-12-03T07:31:00.016+07:002023-12-04T09:26:49.282+07:00เฉลยปัญหาข้อสอบวิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖<img alt="เฉลยปัญหาข้อสอบวิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1080" data-original-width="1920" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgIXgQLki1jejRG6rZ19q_rxRa4qNHGYsq7Wty0KnisFzN7Z8F3Oh4-kMDtjmNou4GZk0Mwq4CQ_G6tR6G9zE0hEbdXXzr1mevugUPUnc3TUipgl0xAJ0qSwSMG1zY2cgDfVXqcrhfmvH08QEABLy6t2J-DIlpcaPatQcTvmbkAAAyFoLbGicSuSmJPoWc/s1600-rw/exam-phutta-ek-2566.webp" title="ปัญหาและเฉลยวิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖"/>
<br />
<br />
<iframe allow="accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture" allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/pN0ymbHG3z0?&autoplay=1" title="เฉลยข้อสอบวิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖" width="560"></iframe>
<br />
<br /><span><a name='more'></a></span>
<img alt="ปัญหาข้อสอบวิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1890" data-original-width="1337" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg9juktEp0xrTXO0m1pBjZtBsseVu2-ry_RHWr6ILJNvkP-Mp6M7qYWJoOZg0E3h5-ZD4pY47EkPGvHKuFI9Ur-7AMffwbJ63JedfNUgoftePcr_bQGXaiUUGbIXBAZYA82T4tTKLB7SP5NlIqujcCaazSAUgiw3K-2SMvrrNQohwCrEmbygn4ZE9_0iN4/s1600-rw/phutta-ek-01.webp" title="ปัญหาวิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖"/>
<br />
<style>
.list-container ol {
max-width: 100%;
font-family: "Roboto", sans-serif;
margin: 32px auto;
line-height: 1.8;
list-style: none;
counter-reset: list-counter;
}
.list-container img {
width: 100%;
border-radius: 8px;
margin: 20px 0;
}
.list-container li {
margin: 45px 28px;
position: relative;
}
.list-container li::before {
content: counter(list-counter);
counter-increment: list-counter;
position: absolute;
top: 0;
left: -50px;
border: 2px solid #cc0000;
border-radius: 50%;
width: 25px;
height: 25px;
display: flex;
align-items: center;
justify-content: center;
font-weight: bold;
background: #fff;
transition: all 200ms ease;
}
.list-container li:hover::before {
background: #ff9900;
color: #fff;
}
.list-container li::after {
content: "";
position: absolute;
left: -34px;
top: 42px;
height: calc(100% - 30px);
width: 1px;
background: #000;
}
.list-container li:last-child::after {
height: calc(100% - 50px);
}
.post-body ol>li:before {
content: counters(ify, '.') '.';
margin: 0 5px 0 0;
font-size: 12px;
}
#myImg1 {
border-radius: 12px;
}
</style>
<img alt="เฉลยปัญหาข้อสอบวิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1890" data-original-width="1337" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhK7Pqt4OLFyhOQPgEdQZyQvXb9hbOapWvwLJcqSyRBsV7Pc0LaQ6Fn8Wdrtdx7kqOk3G3Q-hNPP8Oweo9WJ83TxzQubcQ-JVgAtMCFU3y3Ykua07x32aVrrFvm93y2UYQccVCkezBpOpLIGNOk0TLJM3I9kNyH8cMDdlLjuxiJ2CqXaazG1APFuYwY73w/s1600-rw/phutta-ek-02.webp" title="ปัญหาและเฉลยวิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖"/><img alt="เฉลยปัญหาข้อสอบวิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1890" data-original-width="1337" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhkKttBGDLGg-8fCNo5z5IlOGgPCHYC3wmkZNhZGHzYJfMfcPq1WoI6lspWYk2ZNo2mPu7NmlJOMRm0oNEugvKYrxHRVWOg2EoGmYjG-EiGwCZYRdN0FwyvN8s6SkRgUXhpPqn_BVvgweJ_TzTbloJptOudTWLAjPpZ5amuHeh2-C31ec_X2l2ShGgiqOQ/s1600-rw/phutta-ek-03.webp" title="ปัญหาและเฉลยวิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖"/><img alt="เฉลยปัญหาข้อสอบวิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1890" data-original-width="1337" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi8koJKmkSFqhl6Xcc1v1i8XrpicV4l7xgb8dyUBfmptJLdnXZngK8bRGL0eIYMGAMg-XLp4pZg1IroWQaCeyxXVMcJ-OG5kgZiL-Dg0s_i5ZOPHiOXDfMHAhfKv3RfVbppaYaFTeIezn0TYkH4iaBqECjVn5Y-I7rGZEJ6XTqJ9ZbqaJ9UuEXqYIN6f9Y/s1600-rw/phutta-ek-04.webp" title="ปัญหาและเฉลยวิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖"/>
<br/>
<br/>
<br/>
<center><h2>ปัญหาเฉลยข้อสอบวิชาพุทธ นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖</h2></center>
<div class="list-container">
<ol>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
พุทธานุพุทธประวัติ ให้ความรู้แก่ผู้ศึกษาทางใดบ้าง ? จงอธิบายพอได้ใจความ</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ๑.ทางประวัติศาสตร์ เช่นความเป็นไปของบ้านเมืองในครั้งพุทธกาล และลัทธิธรรมเนียมของประชาชนในสมัยนั้น<br/>
๒. ทางจรรยาของพระพุทธเจ้า และจรรยาของเหล่าพระอริยสาวก<br/>
๓. ทางธรรมวินัยที่ปรากฏในตํานานและความเป็นมาแห่งศาสนธรรม พร้อมทั้งตัวอย่างการบํารุงพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
การที่พระพุทธองค์ทรงยืนยันพระองค์เองว่า เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ เพราะทรงอาศัยอะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เพราะทรงอาศัยเหตุที่ตรัสรู้อริยสัจ ๔ อันมีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อย่าง แจ่มแจ้ง ครบถ้วนทุกประการ จึงทรงปฏิญาณพระองค์ว่า เป็นสัมมาสัมพุทธะ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
ภัพพบุคคล คือบุคคลเช่นใด ? ประเภทที่ ๑ ท่านเปรียบด้วยอะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ภัพพบุคคล คือบุคคลผู้สามารถจะตรัสรู้ธรรมได้ ฯ<br/>
อุคฆติตัญญู เปรียบด้วยดอกบัวพ้นน้ำ เมื่อต้องแสงพระอาทิตย์ก็จักบานในวันนั้น ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
พระพุทธองค์ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาที่ไหนเป็นแห่งแรก ? ทรงเห็นประโยชน์อะไรจึงทรงประดิษฐาน ณ ที่นั้น ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ที่กรุงราชคฤห์ ฯ<br/>
เพราะทรงเห็นว่า เมืองนี้เป็นเมืองที่บริบูรณ์มั่งคั่ง และมีศาสดาเจ้าลัทธิมาก ถ้าได้โปรดคนเหล่านี้ให้เกิดความเลื่อมใสได้แล้ว การเผยแผ่พระพุทธศาสนา ก็สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะศาสดาเจ้าลัทธิต่าง ๆ นั้น ล้วนมีศิษยานุศิษย์มาก ผู้คนนับถือมาก ด้วยเหตุนี้ จึงทรงเลือกเมืองนี้เป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธศาสนาเป็นแห่งแรก ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
พระอัสสชิแสดงธรรมแก่อุปติสสปริพาชกมีความว่าอย่างไร ? และมีผลอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> มีความว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุของธรรมนั้น และความดับแห่งธรรมนั้น พระศาสดาทรงสอนอย่างนี้ ฯ<br/>
มีผล คือ อุปติสสปริพาชกได้ดวงตาเห็นธรรมว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้น เป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
พระมหากัสสปเถระประพฤติธุดงควัตรเพราะเห็นอำนาจประโยชน์อย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เพราะเห็นอำนาจประโยชน์ ๒ อย่าง คือ<br/>
๑. การอยู่เป็นสุขในบัดนี้ของตน<br/>
๒. เพื่ออนุเคราะห์ประชุมชนในภายหลัง จะได้เป็นทิฏฐานุคติ แห่งคนผู้มาเกิดในภายหลัง เมื่อทราบว่า สาวกของพระพุทธเจ้าได้ประพฤติอย่างนี้ เขาจะได้ประพฤติตาม ซึ่งเป็นทางอำนวยสุขแก่เขาเอง ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
พระพุทธเจ้าตรัสสอนพระราธะว่า “สิ่งใดเป็นมาร ท่านจงละความกำหนัดพอใจในสิ่งนั้นเสีย” มารในที่นี้ หมายถึงอะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> มาร หมายถึง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
พระสาวกต่อไปนี้ ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในทางใด ?<br/>
๑. พระมหากัสสปเถระ<br/>
๒. พระมหากัจจายนเถระ<br/>
๓. พระโมฆราชเถระ<br/>
๔. พระโสณกุฏิกัณณเถระ<br/>
๕. พระราหุลเถระ</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ๑. พระมหากัสสปเถระ เป็นผู้เลิศในทางถือธุดงค์<br/>
๒. พระมหากัจจายนเถระ อธิบายความย่อให้พิสดาร<br/>
๓. พระโมฆราชเถระ ทรงจีวรเศร้าหมอง<br/>
๔. พระโสณกุฏิกัณณเถระ มีวาจาไพเราะ<br/>
๕. พระราหุลเถระ ผู้ใคร่ในการศึกษา
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
การปลงอายุสังขาร หมายถึงอะไร ? พระพุทธเจ้าทรงกระทำที่ไหน ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> การปลงอายุสังขาร หมายถึง การที่พระพุทธเจ้าทรงกําหนดวันปรินิพพาน นับแต่วันเพ็ญเดือน ๓ ไปอีก ๓ เดือน ฯ<br/>
ทรงกระทําที่ปาวาลเจดีย์ เมืองไพศาลี ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
การทำสังคายนาครั้งแรก ใครทำหน้าที่ปุจฉาและวิสัชนา ? และทำที่ไหน ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> พระมหากัสสปะ ทําหน้าที่ปุจฉา<br/>
พระอุบาลี ทําหน้าที่วิสัชนาพระวินัย<br/>
พระอานนท์ ทําหน้าที่วิสัชนาพระสูตรและพระอภิธรรม ฯ<br/>
ณ ถํ้าสัตตบรรณคูหา ฯ
</li>
</ol>
</div>
<br/>
<center><h2>ดาวน์โหลดเฉลยข้อสอบวิชาพุทธ/PDF</h2></center>
<center><iframe height="600" src="https://drive.google.com/file/d/1Mm7kZTrDhZQY8BNkThLraQEpMJFXCYd0/preview" width="900"></iframe></center>
<br/>
<br/>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2983053855378828333.post-70136473990729849732023-12-03T03:07:00.006+07:002023-12-03T14:39:57.811+07:00เฉลยปัญหาข้อสอบวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖<img alt="เฉลยปัญหาข้อสอบวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1080" data-original-width="1920" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhSl78jjIcP9CeqXuAHFAAqch6hZHDBWSfeAfyqUEPigEkvPRfr9WUbFZhW_P4u11T4XnZ4Pqet8Q9WcFGL2Vcwd4wzz6HaHviBc6BX-cKzSz3hfvSNvJXpKKWQ8C5Xk3OqW5q2I8uXbCOXZvgl4RojsTJP41JozOFK6CVviaULqHtiGyrPpkaF_PbnSmw/s1600-rw/exam-phutta-tho-2566.webp" title="ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖"/>
<br />
<br />
<iframe allow="accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture" allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/RYleFjzykrk?&autoplay=1" title="เฉลยข้อสอบวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖" width="560"></iframe>
<br />
<br /><span><a name='more'></a></span>
<img alt="ปัญหาข้อสอบวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1890" data-original-width="1337" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjT2Hz0JN_LPNuz1yYimiLKYIpxQkDsHY_pW04fI-38VHGAnafv-fGlDOS0HuVtEEfYKyOvIt7VEVmIN3qQGl4kFHRvutFshy1IC4nU7Z9l8vj6tSp1s7_ATmFp5C_LfpLdo0damZH-Ak64p1_nutUucujcxAipHIiJCQXzf8RSNRNun2jQ507UfnA84Ao/s1600-rw/phutta-tho-01.webp" title="ปัญหาวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖"/>
<br />
<style>
.list-container ol {
max-width: 100%;
font-family: "Roboto", sans-serif;
margin: 32px auto;
line-height: 1.8;
list-style: none;
counter-reset: list-counter;
}
.list-container img {
width: 100%;
border-radius: 8px;
margin: 20px 0;
}
.list-container li {
margin: 45px 28px;
position: relative;
}
.list-container li::before {
content: counter(list-counter);
counter-increment: list-counter;
position: absolute;
top: 0;
left: -50px;
border: 2px solid #cc0000;
border-radius: 50%;
width: 25px;
height: 25px;
display: flex;
align-items: center;
justify-content: center;
font-weight: bold;
background: #fff;
transition: all 200ms ease;
}
.list-container li:hover::before {
background: #ff9900;
color: #fff;
}
.list-container li::after {
content: "";
position: absolute;
left: -34px;
top: 42px;
height: calc(100% - 30px);
width: 1px;
background: #000;
}
.list-container li:last-child::after {
height: calc(100% - 50px);
}
.post-body ol>li:before {
content: counters(ify, '.') '.';
margin: 0 5px 0 0;
font-size: 12px;
}
#myImg1 {
border-radius: 12px;
}
</style>
<img alt="เฉลยปัญหาข้อสอบวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1890" data-original-width="1337" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhgNQHzW8wdZIYgKL0if4dGly6Ir4moKo5wCZ60mAYKPKcwWsrMarG8Tzx9D8OT8OxNxf95qcEJejinq3LAtIx33lSJGjgapSW-8iHJ2zy4G4gSTniWC-4U2T7Irc4sFtDmXpKccUYmEhl0X8crAqWkwWi_bFjJe_SAFST8np5V95kmjVtaDjObHzK8gqc/s1600-rw/phutta-tho-02.webp" title="ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖"/><img alt="เฉลยปัญหาข้อสอบวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1890" data-original-width="1337" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjg_tfcQEmoI_xjhDzYfhgIPANnjMIkzGsYrrfIRoNG0Y7VR24xaRVZlD4KpOKme7MiJK1D5eU4flJwQHD9ZdtBNbRDn6unigzDB695Tp1hmjVADZJ6DCTYS5FfaFSRCgt70RHQCkXthszj-Otzc_jTzpcMtAcuafUyOwXAQUtFzVzFE0svD750YSSglFw/s1600-rw/phutta-tho-03.webp" title="ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖"/><img alt="เฉลยปัญหาข้อสอบวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1890" data-original-width="1337" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgq_4nw2OjBxFvB7wWJJMVsvySzN3i6kynlBGjyjXsbpCw7dWqKgoT_tH8mszksOKOeG1iwbHRuPYxUs2yfqBT7-nASDY1tq0P6Mp_v1CU3jVUnmF0T9ENmnAsQmHzKj-zYIaUrNN34bxhawNreTE1KUuNcBgwYeBRVf80KybymGhYqInI5FdvRLlhgDh8/s1600-rw/phutta-tho-04.webp" title="ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖"/>
<br/>
<br/>
<br/>
<center><h2>ปัญหาเฉลยข้อสอบวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖</h2></center>
<div class="list-container">
<ol>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
ประวัติอนุพุทธบุคคลมีความสำคัญต่อผู้ศึกษาอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> มีความสำคัญ คือ ทำให้ผู้ศึกษาได้รับความรู้ในจริยาวัตร และคุณความดีที่ท่านได้บำเพ็ญมาตลอด จนถึงผลงานในการช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาอันทำให้เจริญสืบ
มาถึงทุกวันนี้ นำให้เกิดความเลื่อมใสและความนับถือเป็นทิฏฐานุคติอันดี สามารถน้อมนำมาปฏิบัติตามได้ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
สัมมาสัมพุทธะ ปัจเจกพุทธะ และอนุพุทธะ ต่างกันอย่างไร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> สัมมาสัมพุทธะ ตรัสรู้เองโดยชอบ และสอนผู้อื่นให้รู้ตาม<br/>
ปัจเจกพุทธะ ตรัสรู้เฉพาะตน ไม่สอนผู้อื่นให้รู้ตาม<br/>
อนุพุทธะ ตรัสรู้ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน และสามารถสอนผู้อื่นให้รู้ตาม ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
พระปัญจวัคคีย์ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ด้วยพระธรรมเทศนาชื่ออะไร ? ความย่อว่าอย่างไร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> พระธรรมเทศนาชื่อ อนัตตลักขณสูตร ฯ<br/>
ความย่อว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
พระธรรมเทศนาที่ได้ชื่อว่าอาทิตตปริยายสูตรเพราะเหตุไร ? พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่ใคร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> เพราะแสดงสภาวธรรมเป็นของร้อน อันเหมาะแก่บุรพจรรยาของผู้ฟัง ฯ<br/>
พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่พวกปุราณชฎิล ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
พระสาวกรูปใด เมื่อทราบว่าพระอาจารย์ของตนอยู่ทางทิศใด ก็นอนหันศรีษะไปทางทิศนั้น ? การปฏิบัติเช่นนั้นจัดเป็นคุณธรรมอะไร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> พระสารีบุตร ฯ จัดเป็นกตัญญู ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
สามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา คือใคร ? ได้บรรลุพระอรหัตเพราะฟังธรรมจากใคร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> สามเณรราหุล ฯ จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
ธรรมุทเทศ มีอะไรบ้าง ? ใครแสดงแก่ใคร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> ธรรมุทเทศ มี<br/>
๑. โลกคือหมู่สัตว์ อันชรานำเข้าไปใกล้ ไม่ยั่งยืน<br/>
๒. โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่จำเพาะตน<br/>
๓. โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีอะไรเป็นของ ๆ ตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไป<br/>
๔. โลกคือหมู่สัตว์ พร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา ฯ<br/>
พระรัฐบาลแสดงถวายพระเจ้าโกรัพยะ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
จงระบุชื่อพระสาวกผู้ที่บวชเพราะเหตุต่อไปนี้ ?<br/>
๑. บวชเพราะศรัทธา<br/>
๒. บวชเพราะจำใจ<br/>
๓. บวชเพราะหลงไหลในรูป</span></b><br />
<b>ตอบ</b> ๑. บวชเพราะศรัทธา คือ พระรัฐบาล<br/>
๒. บวชเพราะจำใจ คือ พระนันทะ<br/>
๓. บวชเพราะหลงใหลในรูป คือ พระวักกลิ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
การศึกษาศาสนพิธี มีประโยชน์อย่างไร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> มีประโยชน์ดังนี้<br/>
๑. ทำให้เข้าใจเรื่องของศาสนพิธีได้โดยถูกต้อง<br/>
๒. ทำให้เห็นเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ไร้สาระ<br/>
๓. ทำให้ปฏิบัติได้ถูกต้องไม่ผิดเพี้ยนจากขนบธรรมเนียมประเพณี ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
สามีจิกรรม หมายถึงอะไร ? มีอะไรบ้าง ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> สามีจิกรรม หมายถึง การขอขมาโทษกันให้อภัยกันทุกโอกาส ไม่ว่าจะมีโทษขัดข้องหมองใจกันหรือไม่ก็ตาม ถึงโอกาสที่ควรทำสามีจิกรรมกันแล้ว
ทุกรูปไม่พึงละโอกาสเสีย ฯ<br/>
มี ๒ คือ<br/>
๑. แบบขอขมาโทษ<br/>
๒. แบบถวายสักการะ ฯ
</li>
</ol>
</div>
<br/>
<center><h2>ดาวน์โหลดเฉลยข้อสอบวิชาพุทธ/PDF</h2></center>
<center><iframe height="600" src="https://drive.google.com/file/d/1XkMGmWwAGDqBjqYXOMTJvfsrBZmLVUR7/preview" width="900"></iframe></center>
<br/>
<br/>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2983053855378828333.post-89509001418890806992023-12-02T23:51:00.024+07:002023-12-03T14:38:18.994+07:00เฉลยปัญหาข้อสอบวิชาธรรม นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖<img alt="เฉลยปัญหาข้อสอบวิชาธรรม นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1080" data-original-width="1920" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjulDPzj0P-ViNOc5MJoPKQbuIaSAXcO6kZTv9Zn6FCgj-DbgTa_AFpLYDq7bTgI_ESeMHbaXZw3MtT1DUNL3lGEPsfS0TTfbpGUYvvX24vp3xE2eB9mwqmVIV0HFx6ZKpxnPSAKlGB0PwVNSjhAsF6LXzvN8MSgaqvRq_EjqnCbJdwQ2V7jJ_-OQWxzxs/s1600-rw/exam-dhamma-ek-2566.webp" title="ปัญหาและเฉลยวิชาธรรมวิจารณ์ นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖"/>
<br />
<br />
<iframe allow="accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture" allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/YCiS9bvNNCs?&autoplay=1" title="เฉลยข้อสอบวิชาธรรม นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖" width="560"></iframe>
<br />
<br /><span><a name='more'></a></span>
<img alt="ปัญหาข้อสอบวิชาธรรม นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1890" data-original-width="1337" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjjelRuw9Brv_OUPQYMQ3NhkWa78qYVcFtaktKBREmTs9oM8RL1ctv1RZhi3rv5EAO5dTtyX7mRC87WxLfhq0hiCH-1q-_Juo34tS-sgq0RcHoqcncLnOTA4knZe4l4slQRUpR4h9daI9EK5b53n0hX9A7Vb_phM31n4KWmsCYLJxpL4BTVER_u6w0BgBw/s1600-rw/dhamma-ek-01.webp" title="ปัญหาวิชาธรรมวิภาค นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖"/>
<br />
<style>
.list-container ol {
max-width: 100%;
font-family: "Roboto", sans-serif;
margin: 32px auto;
line-height: 1.8;
list-style: none;
counter-reset: list-counter;
}
.list-container img {
width: 100%;
border-radius: 8px;
margin: 20px 0;
}
.list-container li {
margin: 45px 28px;
position: relative;
}
.list-container li::before {
content: counter(list-counter);
counter-increment: list-counter;
position: absolute;
top: 0;
left: -50px;
border: 2px solid #cc0000;
border-radius: 50%;
width: 25px;
height: 25px;
display: flex;
align-items: center;
justify-content: center;
font-weight: bold;
background: #fff;
transition: all 200ms ease;
}
.list-container li:hover::before {
background: #ff9900;
color: #fff;
}
.list-container li::after {
content: "";
position: absolute;
left: -34px;
top: 42px;
height: calc(100% - 30px);
width: 1px;
background: #000;
}
.list-container li:last-child::after {
height: calc(100% - 50px);
}
.post-body ol>li:before {
content: counters(ify, '.') '.';
margin: 0 5px 0 0;
font-size: 12px;
}
#myImg1 {
border-radius: 12px;
}
</style>
<img alt="เฉลยปัญหาข้อสอบวิชาธรรมวิจารณ์ นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1890" data-original-width="1337" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj_H_OdyXyfltVp6YnDhb2ADFPa1BVaM2cNSJ9sOdY4EFo5_TRxvimXkTvSD2Oi_RioNAAQapA54YGgOZvr2lYrvfaJOiKoCLy_fF5ed06r84w9UY98t9tdUggfsOUwsSehOrxpRYo0h4vXBH10xX99LaVIWlJEuS04mgj3DzLVzZa6IN3_T0_y2gfeYy0/s1600-rw/dhamma-ek-02.webp" title="ปัญหาและเฉลยวิชาธรรมวิจารณ์ นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖"/><img alt="เฉลยปัญหาข้อสอบวิชาธรรมวิจารณ์ นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1890" data-original-width="1337" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiKOAC48WwbHXjJ0WC7zr0KqfX5VzvnsRWUAeZOHALfPOW35Yicf4YeCWfFNucFXLgZMF0-OxuYHHchPkiUNjxq8_qmA9799B5dM25E7yTo4Zi09akI-0BLFfLmhxXHj4wTdKtLltf9F8BGMqSA6PonBs4Kl7LzGJWBo3JI9Km2qrwL1u7-VY3l1a46zPw/s1600-rw/dhamma-ek-03.webp" title="ปัญหาและเฉลยวิชาธรรมวิจารณ์ นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖"/><img alt="เฉลยปัญหาข้อสอบวิชาธรรมวิจารณ์ นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1890" data-original-width="1337" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj6LewqcHy2QYQmYyhxYrbroPo5lfTczidBtRMzUFxqVUgYZSgKQdM6lPw2a2tPlrFKzd3XX8Tdne74G53fBg6ChXucU0s2rJqIa-SzHPr3WqO9Z1TcvF_dm2E4KxIvpH191Pi_Aufi_83eyiQuprRehM7JlJ0oyS7X7SZiUR10HJSU8teRLvCEyCoBwHs/s1600-rw/dhamma-ek-04.webp" title="ปัญหาและเฉลยวิชาธรรมวิจารณ์ นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖"/>
<br/>
<br/>
<br/>
<center><h2>ปัญหาเฉลยข้อสอบวิชาธรรม นักธรรมชั้นเอก ปีพ.ศ.๒๕๖๖</h2></center>
<div class="list-container">
<ol>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
บุคคลเช่นไรชื่อว่าติดอยู่ในโลก ? ผู้ติดอยู่ในโลกจะได้รับผลอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> บุคคลผู้ไร้พิจารณา ไม่หยั่งเห็นโดยถ่องแท้ เพลิดเพลินในสิ่งอันให้โทษ ระเริงจนเกินพอดีในสิ่งอันอาจให้โทษ ติดในสิ่งอันเป็นอุปการะ ชื่อว่า ติดอยู่ในโลก ฯ<br/>
ย่อมได้เสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้าง อันสิ่งนั้น ๆ พึงอำนวย แม้สุขก็เป็นเพียงสามิส คือ มีเหยื่อเจือด้วยของล่อใจ เป็นเหตุแห่งความติด ดุจเหยื่อคือมังสะอันเบ็ดเกี่ยวไว้ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
คำว่า มารและบ่วงแห่งมาร หมายถึงอะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> คำว่า มาร หมายถึงกิเลสกาม อันทำจิตให้เศร้าหมอง ได้แก่ ตัณหา ราคะ และอรติ เป็นต้น<br/>
คำว่า บ่วงแห่งมาร หมายถึงวัตถุกาม ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
คำว่า มะทะนิมมะทะโน ธรรมยังความเมาให้สร่าง หมายถึงความเมาในอะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> หมายถึง ความเมาในอารมณ์อันยั่วยวนให้เกิดความเมาทุกประการ เช่น ชาติ สกุล อิสริยะ บริวาร ก็ดี ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็ดี ความเยาว์วัย ความไม่มีโรค และชีวิต ก็ดี นับเข้าในอารมณ์ประเภทนี้ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
วัฏฏะ ในคำว่า วัฏฏูปัจเฉโท นั้น หมายถึงอะไร ? และตัดวัฏฏะได้อย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> หมายถึง ความเวียนเกิดด้วยอำนาจกิเลส กรรม วิบาก ฯ<br/>
ตัดขาดได้โดยการละกิเลสอันเป็นเบื้องต้นเสีย ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
โลกามิส คืออะไร ? ที่ได้ชื่ออย่างนั้นเพราะเหตุไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> โลกามิส คือ กามคุณ ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ ฯ<br/>
ได้ชื่ออย่างนั้น เพราะเป็นเครื่องล่อใจให้ติดอยู่ในโลกดุจเหยื่ออันเบ็ดเกี่ยวไว้ฉะนั้น ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
คติ คืออะไร ? สัตวโลกตายไปแล้ว มีคติเป็นอย่างไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> คติ คือ ภูมิหรือภพเป็นที่ไปหลังจากตายแล้ว ฯ<br/>
มีคติเป็น ๒ คือ<br/>
๑. ทุคติ ภูมิเป็นที่ไปข้างชั่ว ซึ่งเกิดจากการประพฤติทุจริตทางกาย วาจา ใจ<br/>
๒. สุคติ ภูมิเป็นที่ไปข้างดี ซึ่งเกิดจากการประพฤติสุจริตทางกาย วาจา ใจ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
ผู้เจริญเมตตาเป็นประจำ ย่อมได้รับอานิสงส์อะไรบ้าง ? จงตอบมา ๓ ประการ</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ได้รับอานิสงส์ดังนี้<br/>
๑. หลับอยู่ก็เป็นสุข<br/>
๒. ตื่นอยู่ก็เป็นสุข<br/>
๓. ไม่ฝันเห็นสิ่งลามก<br/>
๔. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย<br/>
๕. เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย<br/>
๖. เทวดาทั้งหลายย่อมรักษา<br/>
๗. ไฟไม่ไหม้ พิษหรือศัสตราวุธทั้งหลายไม่อาจประทุษร้าย<br/>
๘. จิตย่อมตั้งมั่นได้เร็วพลัน<br/>
๙. ผิวพรรณย่อมผ่องใสงดงาม<br/>
๑๐. ไม่หลงทำกาลกิริยา คือเมื่อจะตายย่อมได้สติ<br/>
๑๑. เมื่อตายแล้วแม้เกิดอีก ก็ย่อมเกิดในที่ดีเป็นที่เสวยสุข ถ้าไม่เสื่อมจากฌาน ก็ไปเกิดในพรหมโลก ฯ<br/>
(เลือกตอบเพียง ๓ ข้อ)
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
สมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน ให้ผลต่างกันอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ให้ผลต่างกันดังนี้<br/>
สมถ ให้ผลอย่างต่ำทำให้ระงับนิวรณ์ได้ อย่างสูงทำให้เข้าถึงฌานต่าง ๆ ได้<br/>
ส่วนวิปัสสนา ให้ผลอย่างต่ำทำให้ได้ปัญญาเห็นสัจธรรม อย่างสูงทำให้ได้บรรลุอริยผลพ้นจากสังสารทุกข์ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
คนสัทธาจริตมีนิสัยอย่างไร ? คนประเภทนี้ควรเจริญกัมมัฏฐานใดบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> คนสัทธาจริต มีนิสัยเชื่อง่ายๆ ในถ้อยคำวาจาที่กล่าวดีและชั่ว ที่เป็นบุญและเป็นบาป เป็นต้น ฯ<br/>
คนประเภทนี้ควรเจริญอนุสสติกัมมัฏฐาน ๖ ประการ คือ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ และเทวตานุสสติ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
อารมณ์ของวิปัสสนากัมมัฏฐาน ได้แก่อะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> สังขารและธรรมทั้งปวง คือ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ ฯ<br/>
<i>(หรือเขียนแบบนี้ก็ได้เช่นกัน)</i><br/>
อารมณ์ของวิปัสสนากัมมัฏฐาน คือ สังขารทั้งหลาย ทั้งที่เป็นอุปาทินนกะ และ
อนุปาทินนกะ (หรือ ธรรมในวิปัสสนาภูมิ คือ ขันธ์ อายตนะ ธาตุ เป็นต้น) ฯ
</li>
</ol>
</div>
<br/>
<center><h2>ดาวน์โหลดเฉลยข้อสอบวิชาธรรม/PDF</h2></center>
<center><iframe height="600" src="https://drive.google.com/file/d/1OpSPNnVNassWRf1Agur5AJWtxH6ouwna/preview" width="900"></iframe></center>
<br/>
<br/>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2983053855378828333.post-76456166853383856132023-12-02T23:47:00.033+07:002023-12-03T14:36:17.587+07:00เฉลยปัญหาข้อสอบวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖<img alt="เฉลยปัญหาข้อสอบวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1080" data-original-width="1920" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhl9-KMXl7lATcrB_zoHwtmI1iI6QhwODYxgIPCMPma1rInChOukMtpK1T8fHYoT3U7oINo_2I9q9rlSzkzfq_VqvU2EELaeW5vymUAhSjneYPj6cioyfIZDIMy2feu9gNGz6t9hZsstvTehBy4YMov2K8y3UySD5tCjxKyjUwgJAsoUeZN2BzunxtnWOU/s1600-rw/exam-dhamma-tho-2566.webp" title="ปัญหาและเฉลยวิชาธรรมวิภาค นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖"/>
<br />
<br />
<iframe allow="accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture" allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/rVEkpvN42MQ?&autoplay=1" title="เฉลยข้อสอบวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖" width="560"></iframe>
<br />
<br /><span><a name='more'></a></span>
<img alt="ปัญหาข้อสอบวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1890" data-original-width="1337" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjlDkIZNJHhg27ERUqzdaH4fqfMh3gK5MOX_8IOis4jmF64urD1TYiM82u8V0U6Y6D-hF_P7oUBBw28FBWjznTfW60_beqOevzIeCuTkLkYe_QvZTv-LCwH26my-B49G4GhSq4ij8CFaKUv9ArJO_4ogKfA7AAQZzVKumWGVqqPJKER8UwPxbzRE__ucT0/s1600-rw/dhamma-tho-01.webp" title="ปัญหาวิชาธรรมวิภาค นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖"/>
<br />
<style>
.list-container ol {
max-width: 100%;
font-family: "Roboto", sans-serif;
margin: 32px auto;
line-height: 1.8;
list-style: none;
counter-reset: list-counter;
}
.list-container img {
width: 100%;
border-radius: 8px;
margin: 20px 0;
}
.list-container li {
margin: 45px 28px;
position: relative;
}
.list-container li::before {
content: counter(list-counter);
counter-increment: list-counter;
position: absolute;
top: 0;
left: -50px;
border: 2px solid #cc0000;
border-radius: 50%;
width: 25px;
height: 25px;
display: flex;
align-items: center;
justify-content: center;
font-weight: bold;
background: #fff;
transition: all 200ms ease;
}
.list-container li:hover::before {
background: #ff9900;
color: #fff;
}
.list-container li::after {
content: "";
position: absolute;
left: -34px;
top: 42px;
height: calc(100% - 30px);
width: 1px;
background: #000;
}
.list-container li:last-child::after {
height: calc(100% - 50px);
}
.post-body ol>li:before {
content: counters(ify, '.') '.';
margin: 0 5px 0 0;
font-size: 12px;
}
#myImg1 {
border-radius: 12px;
}
</style>
<img alt="เฉลยปัญหาข้อสอบวิชาธรรมวิภาค นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1890" data-original-width="1337" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgdcmi4ReSXi-wN7GK_lGSH2ZhZHAigo2CBlq1dqDOFw92r9s3wMcUpdcYRUWT-sR8w7NSBtAeeHNPGF3omng267DPE9rS-mVdpBTPu1h4wiu1Uk-bdYxgukJrE9aomZKO9AwDgzWBEpLirv7jvqPT8DWYSLGmeLmtPd4s4ReNQTfBKq_1Sac8mTL-2KOs/s1600-rw/dhamma-tho-02.webp" title="ปัญหาและเฉลยวิชาธรรมวิภาค นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖"/><img alt="เฉลยปัญหาข้อสอบวิชาธรรมวิภาค นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1890" data-original-width="1337" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgOHYhyphenhyphenz1Q07RPCJ357odpr0AK0PZalNrAuB8tXdPj4tTKWmdUsZZRVZq1Hyyc_pJkqmv2sp8uG-8QM3lFxgddFKQ5rpmQbvM8vyV0-0KG9WfdWFbjpY9mSVXYQ8Ui-W9CAIJ1G22fc-o1BzFzlLOT-m0ya9LRP2H7HJ7JVwr6ifXgQqINQqL0DlavZlNU/s1600-rw/dhamma-tho-03.webp" title="ปัญหาและเฉลยวิชาธรรมวิภาค นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖"/><img alt="เฉลยปัญหาข้อสอบวิชาธรรมวิภาค นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1890" data-original-width="1337" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh6neS7fx0kGIL9UI3t91ZAR6YXnTWMMRPSDmJXpjkaZBYI_aLKt0rfbsAiIWo8DbDFacK_sipNlCh-iRICBLx0xq1wI2zFY5X6-Bq360HfrfU6lf9mSLLjjyRjAWxj-NZDq5NYSimZmEASFq5jp8XVHc47ZpEy2cGQBqQ3EwVx9gMTaNW-AAwbDc6vkeE/s1600/dhamma-tho-04.webp" title="ปัญหาและเฉลยวิชาธรรมวิภาค นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖"/>
<br/>
<br/>
<br/>
<center><h2>ปัญหาเฉลยข้อสอบวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท ปีพ.ศ.๒๕๖๖</h2></center>
<div class="list-container">
<ol>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
การพิจารณาสังขารทั้งหลายโดยความเป็นไตรลักษณ์ จัดเป็นกัมมัฏฐานอะไร ? มีประโยชน์อย่างไร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> จัดเป็น วิปัสสนากัมมัฏฐาน ฯ<br/>
มีประโยชน์ คือทำให้รู้จักสภาพที่เป็นจริงแห่งสังขารทั้งหลายว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แล้วเกิดความเบื่อหน่ายในสังขารทั้งหลายเหล่านั้น ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
ราคะ โลภะ อิสสา กลิ่น รส อย่างไหนเป็นกิเลสกาม อย่างไหนเป็นวัตถุกาม ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> ราคะ โลภะ อิสสา เป็นกิเลสกาม<br/>
กลิ่น รส เป็นวัตถุกาม ฯ<br/>
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
บุคคลผู้ถือความถูกต้องเป็นใหญ่ ทำด้วยความเมตตา กรุณา เป็นต้น จัดเข้าในอธิปเตยยะข้อไหน ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> จัดเข้าใน ธัมมาธิปเตยยะ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
ปฏิปทาของพระอริยบุคคลผู้เป็นสมถะ เรียกว่าอะไร ? มีอะไรบ้าง ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> เรียกว่า อริยวงศ์ ฯ มี ๔ อย่าง ได้แก่<br/>
๑) สันโดษด้วยจีวรตามมีตามเกิด<br/>
๒) สันโดษด้วยบิณฑบาตตามมีตามเกิด<br/>
๓) สันโดษด้วยเสนาสนะตามมีตามเกิด<br/>
๔) ยินดีในการเจริญกุศลและในการละอกุศล ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
ทิฏฐิ อวิชชา เพราะเหตุไรจึงเรียกว่า โอฆะ โยคะ อาสวะ ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> เรียกว่า โอฆะ เพราะเป็นดุจกระแสน้ำอันท่วมใจสัตว์<br/>
เรียกว่า โยคะ เพราะประกอบสัตว์ไว้ในภพ<br/>
เรียกว่า อาสวะ เพราะเป็นสภาพหมักหมมอยู่ในสันดาน ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
สังวรคืออะไร ? สติสังวร สำรวมด้วยสตินั้น มีอธิบายอย่างไร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> สังวร คือ การสำรวมระวังปิดกั้นอกุศล ฯ<br/>
มีอธิบายว่า สำรวมอินทรีย์มีจักษุเป็นต้น ระวังรักษามิให้อกุศลกรรมเข้าครอบงำ เมื่อเห็นรูปเป็นต้น ทั้งมีสติไม่ฟั่นเฟือนหลงลืม ระลึกได้ก่อนแต่ทำ พูด คิด ไม่ให้ผิดทางกาย วาจา ใจ ไม่ประมาทหลงทำกรรมชั่ว ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
พระธรรมคุณบทว่า “เอหิปัสสิโก” มีอธิบายว่าอย่างไร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> มีอธิบายว่า พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถที่จะให้พิสูจน์ได้ทุกเวลา และสามารถนำไปประพฤติในชีวิตประจำวันเพื่อประโยชน์สุขได้ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
บารมี คืออะไร ? อธิษฐานบารมี คือการทำอย่างไร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> บารมี คือ ปฏิปทาอันยิ่งยวด หรือคุณธรรมที่ประพฤติอย่างยิ่งยวด ได้แก่ ความดีที่บำเพ็ญอย่างพิเศษ เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุด ฯ<br/>
อธิษฐานบารมี คือ ความตั้งใจมั่นตัดสินใจเด็ดเดี่ยว วางจุดหมายแห่งการกระทำของตนไว้แน่นอนและดำเนินตามนั้นอย่างแน่วแน่ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ ?<br/>
๑. อโหสิกรรม<br/>
๒. กตัตตากรรม</span></b><br />
<b>ตอบ</b> อโหสิกรรม คือ กรรมให้ผลสำเร็จแล้ว เป็นกรรมล่วงคราวแล้ว เลิกให้ผล เปรียบเหมือนพืชสิ้นยางแล้วเพาะไม่ขึ้น<br/>
กตัตตากรรม คือ กรรมสักว่าทำ ได้แก่กรรมอันทำด้วยไม่จงใจ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
ธุดงค์ ท่านบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร ? ภิกษุผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตรอย่างเคร่งท่านให้ถือปฏิบัติอย่างไร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> เพื่อประโยชน์ คือ เป็นอุบายขัดเกลากิเลสและเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ<br/>
ภิกษุผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตรอย่างเคร่ง คือ เมื่อเลิกบิณฑบาต นั่งลงแล้ว แม้มีผู้มาใส่บาตรอีกก็ไม่รับ ฯ
</li>
</ol>
</div>
<br/>
<center><h2>ดาวน์โหลดเฉลยข้อสอบวิชาธรรม/PDF</h2></center>
<center><iframe height="600" src="https://drive.google.com/file/d/1167zEcKxeePAIDLpXQvPfBXgmYMAwb3C/preview" width="900"></iframe></center>
<br/>
<br/>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2983053855378828333.post-24007016641266843562023-11-01T06:21:00.000+07:002023-11-02T19:03:46.522+07:00เก็งข้อสอบนักธรรมชั้นเอก วิชาธรรมวิจารณ์ ปีพ.ศ.๒๕๖๖<img id="myImg1" alt="เก็งข้อสอบวิชาธรรมวิจารณ์ นักธรรมชั้นเอก พ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1080" data-original-width="1920" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh1rPbSkMwJ-Ju4D-zxhl3sLGhUzh1eP_5iMV3UJeQGXq8kvwZO2QVDBsuyvL62gdB07_zSclUJbR42ty3pqMQStEK3d_kzWjrQBPOEMYqjaiw6yEjvTOrn1ELJ0as18yLn9PJuZw9_N-AkucLd2lGTx0mhXgnuCAHg65HcUNlrXnMFCmB2adcnvXVEbis/s1600-rw/dharma-naktham-ek-2566.webp" title="เก็งข้อสอบวิชาธรรมวิจารณ์ นักธรรมชั้นเอก พ.ศ.๒๕๖๖" />
<br/>
<br/>
<iframe allow="accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture" allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/vkqo6k-89C0?&autoplay=1" title="เก็งข้อสอบวิชาธรรมวิจารณ์ นักธรรมชั้นเอก ๒๕๖๖" width="560"></iframe>
<br />
<br /><span><a name='more'></a></span>
<style>
.list-container ol {
max-width: 100%;
font-family: "Roboto", sans-serif;
margin: 32px auto;
line-height: 1.8;
list-style: none;
counter-reset: list-counter;
}
.list-container img {
width: 100%;
border-radius: 8px;
margin: 20px 0;
}
.list-container li {
margin: 45px 28px;
position: relative;
}
.list-container li::before {
content: counter(list-counter);
counter-increment: list-counter;
position: absolute;
top: 0;
left: -50px;
border: 2px solid #ff9900;
border-radius: 50%;
width: 28px;
height: 28px;
display: flex;
align-items: center;
justify-content: center;
font-weight: bold;
background: #fff;
transition: all 200ms ease;
}
.list-container li:hover::before {
background: #ff9900;
color: #fff;
}
.list-container li::after {
content: "";
position: absolute;
left: -34px;
top: 42px;
height: calc(100% - 30px);
width: 1px;
background: #000;
}
.list-container li:last-child::after {
height: calc(100% - 50px);
}
.post-body ol>li:before {
content: counters(ify, '.') '.';
margin: 0 5px 0 0;
font-size: 12px;
}
#myImg1 {
border-radius: 12px;
}
</style>
<div class="list-container">
<ol>
<li>
<b><span style="color: #003380;">บุคคลเช่นไรชื่อว่าติดอยู่ในโลก ? ผู้ติดอยู่ในโลกจะได้รับผลอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> บุคคลผู้ไร้พิจารณา ไม่หยั่งเห็นโดยถ่องแท้ เพลิดเพลินในสิ่งอันให้โทษ หลงระเริงจนเกินพอดีในสิ่งอันอาจให้โทษ ติดในสิ่งอันเป็นอุปการะ ชื่อว่า ติดอยู่ในโลก ฯ<br/>
ผู้ติดอยู่ในโลก ย่อมได้เสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้าง อันสิ่งนั้นๆ พึงอำนวย แม้สุขก็เป็นเพียงสามิส คือ มีเหยื่อเจือด้วยของล่อใจ เป็นเหตุแห่งความติด ดุจเหยื่อคือมังสะอันเบ็ดเกี่ยวไว้ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">บทอุทเทสว่า "สูทั้งหลายจงมาดูโลกนี้" พระศาสดาตรัสชวนให้มาดูโลก โดยมีพระประสงค์อย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ทรงมีพระประสงค์จะทรงปลุกใจพวกเรา ให้หยั่งเห็นซึ้งลงไปถึงคุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์แห่งสิ่งนั้นๆ อันคุมเข้าเป็นโลกจะได้ไม่ตื่นเต้น ไม่ติดในสิ่งนั้นๆ รู้จักละสิ่งที่เป็นโทษ ไม่ข้องติดอยู่ในสิ่งที่เป็นคุณ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">คำว่า มารและบ่วงแห่งมารได้แก่อะไร ? เพราะเหตุไรจึงชื่ออย่างนั้น ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> คำว่า มาร ได้แก่ กิเลสกาม อันทำจิตให้เศร้าหมอง ได้แก่ ตัณหาราคะและอรติ เป็นต้น ชื่ออย่างนั้น เพราะเป็นโทษล้างผลาญคุณความดีและทำให้เสียคน ฯ<br/>
คำว่า บ่วงแห่งมาร ได้แก่ วัตถุกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะอันเป็นของน่าชอบใจ ชื่ออย่างนั้น เพราะเป็นอารมณ์เครื่องผูกใจให้ติด ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ทุกขลักขณะ และ ทุกขานุปัสสนา เป็นอย่างเดียวกันหรือต่างกัน ? จงอธิบาย</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ต่างกันคือ<br/>
ทุกขลักขณะ ได้แก่ ลักษณะที่เป็นทุกข์แห่งสังขาร เพราะถูกบีบคั้นจากปัจจัยต่าง ๆ<br/>
ทุกขานุปัสสนา ได้แก่ ปัญญาพิจารณาเห็นสังขารว่าเป็นทุกข์ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ทุกข์ประจำสังขาร กับ ทุกข์จร ต่างกันอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ทุกข์ประจำสังขาร เป็นทุกข์ที่ต้องมีแก่คนทุกคน ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงพ้น ได้แก่ ความเกิด ความแก่ ความตาย ฯ<br/>
ทุกข์จร เป็นทุกข์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวได้แก่ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส ประสบด้วยคนหรือสิ่งอันไม่เป็นที่รัก พรากจากคนหรือสิ่งอันเป็นที่รัก ปรารถนาไม่ได้สมหวัง ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ความเป็นอนัตตาแห่งสังขาร พึงกำหนดรู้ด้วยอาการอย่างไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ด้วยอาการดังนี้ คือ<br/>
๑. ไม่อยู่ในอำนาจ หรือฝืนความปรารถนา<br/>
๒. แย้งต่ออัตตา<br/>
๓. ความเป็นสภาพหาเจ้าของมิได้<br/>
๔. ความเป็นสภาพสูญ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ไวพจน์แห่งวิราคะว่า มทนิมฺมทโน ธรรมยังความเมาให้สร่าง ความเมาในที่นี้ หมายถึง ความเมาในอะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ความเมา หมายถึง ความเมาในอารมณ์อันยั่วยวนให้เกิดความเมาทุกประการ เช่น ความถึงพร้อมแห่งชาติ สกุล อิสริยะ และบริวาร หรือลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรือ ความเยาว์วัย ความหาโรคมิได้ และชีวิต ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">คำว่า “วฏฺฏูปจฺเฉโท ธรรมเข้าไปตัดเสียซึ่งวัฏฏะ” มีอธิบายว่าอย่างไร ? และตัดขาดได้อย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> มีอธิบายว่า วัฏฏะ หมายถึง ความเวียนว่ายตายเกิดด้วยอำนาจกิเลส กรรม และ วิบาก วิราคะเข้าไปตัดความเวียนว่ายตายเกิดนั้น จึงเรียกว่า วฏฺฏูปจฺเฉโท ธรรมเข้าไปตัดเสียซึ่งวัฏฏะ ฯ<br/>
ตัดขาดได้โดยการละกิเลสอันเป็นเบื้องต้นเสีย ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ความหลุดพ้นอย่างไรเป็นสมุจเฉทวิมุตติ ? จัดเป็นโลกิยะ หรือ โลกุตตระ ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ความหลุดพ้น ด้วยการตัดกิเลสได้เด็ดขาด ได้แก่อริยมรรค ฯ<br/>
จัดเป็นโลกุตตระ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ในวิมุตติ ๕ วิมุตติใดจัดเข้าใน อริยมรรค อริยผล นิพพาน ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> สมุจเฉทวิมุตติ จัดเข้าในอริยมรรค<br/>
ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ จัดเข้าในอริยผล<br/>
นิสสรณวิมุตติ จัดเข้าในนิพพาน ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">วิมุตติ ๕ อย่างไหนเป็นโลกิยะ อย่างไหนเป็นโลกุตตระ ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ตทังควิมุตติ วิกขัมภนวิมุตติ เป็นโลกิยะ<br/>
สมุจเฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ นิสสรณวิมุตติ เป็นโลกุตตระ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">วิสุทธิ ๗ แต่ละอย่าง ๆ จัดเข้าในไตรสิกขาได้อย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> สีลวิสุทธิ จัดเข้าใน สีลสิกขา<br/>
จิตตวิสุทธิ จัดเข้าใน จิตตสิกขา<br/>
ทิฏฐิวิสุทธิ, กังขาวิตรณวิสุทธิ, มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ, ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ, ญาณทัสสนวิสุทธิ จัดเข้าในปัญญาสิกขา ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">จงจัดมรรค ๘ เข้าใน วิสุทธิ ๗ มาดู</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> สัมมาวาจา, สัมมากัมมันตะ, สัมมาอาชีวะ จัดเข้าใน สีลวิสุทธิ<br/>
สัมมาวายามะ, สัมมาสติ, สัมมาสมาธิ จัดเข้าใน จิตตวิสุทธิ<br/>
สัมมาทิฏฐิ, สัมมาสังกัปปะ, จัดเข้าใน ทิฏฐิวิสุทธิ กังขาวิตรณวิสุทธิ
มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ญาณทัสสนวิสุทธิ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ธรรมอะไร พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นยอดแห่งสังขตธรรม ? เพราะเหตุไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ธรรมชื่อว่า อัฏฐังคิกมรรค เป็นยอดแห่งสังขตธรรม ฯ<br/>
เพราะองค์ ๘ แต่ละองค์ ๆ ของอัฏฐังคิกมรรค ก็เป็นธรรมดี ๆ รวมกันเข้าทั้ง ๘ ย่อมเป็นธรรมดียิ่งนัก และเป็นทางเดียวนำไปถึงความดับทุกข์ หรือถึงความหมดจดแห่งทัสสนะ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">สันติ ความสงบ เป็นโลกิยะหรือโลกุตตระ ? จงตอบโดยอ้างพระบาลีมาประกอบ</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> สันติ เป็นได้ทั้งโลกิยะและโลกุตตระ ฯ<br/>
ที่เป็นโลกิยะ ได้ในบาลีว่า น หิ รุณฺเณน โสเกน สนฺตึ ปปฺโปติ เจตโส แปลว่า บุคคลย่อมถึงความสงบแห่งจิต ด้วยร้องไห้ด้วยเศร้าโศกก็หาไม่<br/>
ที่เป็นโลกุตตระ ได้ในบาลีว่า โลกามิสํ ปชเห สนฺติเปกฺโข แปลว่า ผู้เพ่งสันติพึงละโลกามิสเสีย ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">สันติ ความสงบ หมายถึงสงบอะไร ? ผู้มุ่งสันติสุขอย่างแท้จริง ท่านสอนให้ละอะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> สันติ หมายถึง สงบกาย วาจา ใจ ฯ<br/>
ผู้มุ่งสันติสุขอย่างแท้จริง ท่านสอนให้ละโลกามิส คือรูป เสียงกลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">สอุปาทิเสสนิพพาน กับอนุปาทิเสสนิพพาน ต่างกันอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ต่างกัน คือ<br/>
สอุปาทิเสสนิพพาน เป็นความดับกิเลสที่ยังมีเบญจขันธ์เหลือ<br/>
อนุปาทิเสสนิพพาน เป็นความดับกิเลสที่ไม่มีเบญจขันธ์เหลือ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ข้อความว่า ปลงภาระอันหนักเสียแล้ว ไม่ถือเอาภาระอันอื่น ดังนี้ มีอธิบายอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ภาระ หมายเอา เบญจขันธ์<br/>
การปลงภาระ หมายเอาการถอนอุปาทาน<br/>
การไม่ถือเอาภาระอื่น หมายเอาการไม่ถือเบญจขันธ์อื่นด้วยอุปาทาน ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระบาลีว่า สิญฺจ ภิกฺขุ อิมํ นาวํ แปลว่า ภิกษุเธอจงวิดเรือนี้ คำว่า เรือ และคำว่า วิด ในที่นี้หมายถึงอะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> คำว่า เรือ หมายถึง อัตภาพร่างกาย<br/>
คำว่า วิด หมายถึง บรรเทากิเลสและบาปธรรมเสีย ให้บางเบาจนขจัดได้ขาด ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">คติ คืออะไร ? สัตว์โลกตายแล้วมีคติเป็นอย่างไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> คติ คือ ภูมิหรือภพเป็นที่ไปหลังจากตายไปแล้ว ฯ<br/>
มีคติเป็น ๒ คือ<br/>
๑. ทุคติ ภูมิเป็นที่ไปข้างชั่ว ซึ่งเกิดจากการประพฤติทุจริตทางกาย วาจา ใจ<br/>
๒. สุคติ ภูมิเป็นที่ไปข้างดี ซึ่งเกิดจากการประพฤติสุจริตทางกาย วาจา ใจ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">สมถกัมมัฏฐาน กับวิปัสสนากัมมัฏฐาน ต่างกันอย่างไร ? หัวใจสมถกัมมัฏฐานมีอะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ต่างกันอย่างนี้ คือ<br/>
สมถกัมมัฏฐาน คือกัมมัฏฐานเป็นอุบายเครื่องสงบใจ<br/>
วิปัสสนากัมมัฏฐาน คือกัมมัฏฐานเป็นอุบายเครื่องเรืองปัญญา ฯ<br/>
หัวใจสมถกัมมัฏฐาน มี ๑) กายาคตาสติ ๒) เมตตา ๓) พุทธานุสสติ ๔) กสิณ และ ๕) จตุธาตุววัตถาน ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">จงแสดงวิธีเจริญมุทิตา พร้อมทั้งอานิสงส์แห่งการเจริญ พอเป็นตัวอย่าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> วิธีเจริญมุทิตา ดังนี้เมื่อได้เห็นหรือได้ยินมนุษย์หรือสัตว์เป็นอยู่สุขสบายเจริญรุ่งเรืองด้วยสุขสมบัติ พึงทำจิตใจให้ชื่นชมยินดีแล้วแผ่มุทิตาจิตไปว่า สัตว์ผู้นี้หนอบริบูรณ์ยิ่งนัก มีสุขสมบัติมาก จงเจริญยั่งยืนด้วยสุขสมบัติยิ่ง ๆ เถิด เมื่อเจริญอยู่เนือง ๆ ย่อมได้รับผลดี คือจะละความริษยาในสมบัติของผู้อื่นได้ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">อารมณ์ของสติปัฏฐานมีอะไรบ้าง ? ภิกษุผู้เจริญสติปัฏฐาน พึงมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> อารมณ์ของสติปัฏฐาน มี กาย เวทนา จิต ธรรม ฯ<br/>
ภิกษุผู้เจริญสติปัฏฐานพึงมีคุณสมบัติ ๓ อย่าง ได้แก่<br/>
๑) อาตาปี มีความเพียรเผากิเลส<br/>
๒) สัมปชาโน มีสัมปชัญญะ<br/>
๓) สติมา มีสติ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">เจริญมรณัสสติอย่างไรจึงแยบคาย บรรเทาความเมาในชีวิต ไม่ติดในโลกธรรม ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เจริญพร้อมด้วยองค์ ๓ คือ<br/>
๑. สติ ระลึกถึงความตาย<br/>
๒. ญาณ รู้ว่าความตายจักมีแก่ตน<br/>
๓. เกิดสังเวชสลดใจ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">บรรดาอาการ ๓๒ ประการนั้น ส่วนที่เป็นอาโปธาตุมีอะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ส่วนที่เป็นอาโปธาตุ ได้แก่ ดี เสมหะ น้ำเหลือง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา มันเหลว น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">คนสัทธาจริตมีนิสัยอย่างไร ? คนประเภทนี้ควรเจริญ กัมมัฏฐานบทใด ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> คนสัทธาจริต มีนิสัยเชื่อง่ายในถ้อยคำวาจาที่กล่าวดี และชั่ว ที่เป็นบุญและเป็นบาป เป็นต้น ฯ<br/>
คนประเภทนี้ควรเจริญ อนุสสติกัมมัฏฐาน ๖ ประการ คือ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ และ เทวตานุสสติ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ในพระพุทธคุณ ๙ ประการนั้น ส่วนไหนเป็นเหตุ ส่วนไหนเป็นผล ? เพราะเหตุไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> พระพุทธคุณ ส่วนอัตตสมบัติ เป็นเหตุ, พระพุทธคุณ ส่วนปรหิตปฏิบัติ เป็นผล ฯ<br/>
เพราะทรงบริบูรณ์ด้วยพระพุทธคุณส่วนอัตตสมบัติก่อน แล้วจึงทรงบำเพ็ญพุทธกิจให้สำเร็จประโยชน์แก่เวไนยสัตว์ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">สมถะ กับ วิปัสสนา ให้ผลต่างกันอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ให้ผลต่างกันดังนี้<br/>
สมถะ ให้ผลอย่างต่ำทำให้ระงับนิวรณ์ได้ อย่างสูงทำให้เข้าถึงฌานต่างๆ ได้<br/>
ส่วนวิปัสสนา ให้ผลอย่างต่ำทำให้ได้ปัญญาเห็นสัจจธรรม อย่างสูงทำให้ได้บรรลุอริยผลพ้นจากสังสารทุกข์ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">สติปัฏฐาน ๔ อันผู้ปฏิบัติธรรมอบรมให้บริบูรณ์เต็มที่แล้วย่อมเป็นเพื่ออานิสงส์ ๕ ประการ อะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เพื่ออานิสงส์ ๕ ประการ ได้แก่<br/>
๑. เพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย<br/>
๒. เพื่อความข้ามพ้นโสกะปริเทวะทั้งหลาย<br/>
๓. เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์โทมนัส<br/>
๔. เพื่อความบรรลุธรรมที่ควรรู้<br/>
๕. เพื่อความทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระพุทธองค์ทรงแสดงคิริมานนทสูตรที่ไหน ? แก่ใคร ? ว่าด้วยเรื่องอะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> พระพุทธองค์ทรงแสดงคิริมานนทสูตรที่ วัดพระเชตวัน เมืองสาวัตถี ฯ<br/>
ทรงแสดงแก่ พระอานนท์ ฯ<br/>
ว่าด้วยเรื่อง สัญญา ๑๐ ฯ
</li>
</ol>
</div>
<br/>
<br/>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2983053855378828333.post-82098022116076990792023-10-31T18:56:00.000+07:002023-11-02T19:03:08.868+07:00เก็งข้อสอบนักธรรมชั้นเอก วิชาพุทธานุพุทธประวัติ ปีพ.ศ.๒๕๖๖<img id="myImg1" alt="เก็งข้อสอบวิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก พ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1080" data-original-width="1920" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhz8TspV1l_AOzv3F0iGQ7sLl-0IEP228xHCxeVI_u_4eCIJIYKPJLcUXme7jzwGk-hMAskhZplQ4alJK_AXKrpIUSuelC_yZOY_ac0e3-SRit5ORqM9KRdgp1OpBczlyap64TOw_1cliX65z4WHWINoVDQthecRxmatQrLlLq6CnacOmqX9JeSWv9u9xU/s1600-rw/phuttha-prawat-naktham-ek-2566.png" title="เก็งข้อสอบวิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก พ.ศ.๒๕๖๖"/>
<br />
<br/>
<iframe allow="accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture" allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/1syVcjSyfUU?&autoplay=1" title="เก็งข้อสอบวิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก ๒๕๖๖" width="560"></iframe>
<br />
<br /><span><a name='more'></a></span>
<style>
.list-container ol {
max-width: 100%;
font-family: "Roboto", sans-serif;
margin: 32px auto;
line-height: 1.8;
list-style: none;
counter-reset: list-counter;
}
.list-container img {
width: 100%;
border-radius: 8px;
margin: 20px 0;
}
.list-container li {
margin: 45px 28px;
position: relative;
}
.list-container li::before {
content: counter(list-counter);
counter-increment: list-counter;
position: absolute;
top: 0;
left: -50px;
border: 2px solid #ff9900;
border-radius: 50%;
width: 28px;
height: 28px;
display: flex;
align-items: center;
justify-content: center;
font-weight: bold;
background: #fff;
transition: all 200ms ease;
}
.list-container li:hover::before {
background: #ff9900;
color: #fff;
}
.list-container li::after {
content: "";
position: absolute;
left: -34px;
top: 42px;
height: calc(100% - 30px);
width: 1px;
background: #000;
}
.list-container li:last-child::after {
height: calc(100% - 50px);
}
.post-body ol>li:before {
content: counters(ify, '.') '.';
margin: 0 5px 0 0;
font-size: 12px;
}
#myImg1 {
border-radius: 12px;
}
</style>
<div class="list-container">
<ol>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ศากยวงศ์สืบเชื้อสายมาจากใคร ? ที่ได้นามว่า ศากยะ เพราะเหตุไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ศากยวงศ์สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าโอกกากราช ฯ<br/>
ที่ได้นามว่า ศากยะ เพราะเหตุ ๒ ประการ คือ<br/>
๑) เพราะได้ชื่อตามชนบทที่ตั้งเมือง<br/>
๒) เพราะมีความกล้าหาญ สามารถตั้งเมืองได้เอง ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระวาจาที่พระมหาบุรุษทรงเปล่งครั้งแรก เรียกว่าอะไร ? ความว่าอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เรียกว่า อาสภิวาจา ฯ<br/>
ความว่า “เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก (อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส) เราเป็นผู้เจริญแห่งโลก (เชฏฺโฐหมสฺมิโลกสฺส) เราเป็นผู้ประเสริฐแห่งโลก (เสฏฺโฐหมสฺมิโลกสฺส) ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย (อยมนฺติมา ชาติ) บัดนี้ภพใหม่มิได้มี
(นตฺถิทานิปุนพฺภโว)”
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระพุทธองค์ทรงยืนยันพระองค์เองว่า เป็นสัมมาสัมพุทธะ เพราะทรงอาศัยเหตุอะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เพราะทรงอาศัยเหตุที่ตรัสรู้อริยสัจ ๔ อันมีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อย่าง แจ่มแจ้งครบถ้วนทุกประการ จึงทรงปฏิญาณพระองค์ว่า เป็นสัมมาสัมพุทธะ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">สตานุสารีวิญญาณ คืออะไร ? เกิดขึ้นแก่พระมหาบุรุษ ความว่าอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> สตานุสารีวิญญาณ คือ วิญญาณไปตามสติ ฯ<br/>
เกิดขึ้นแก่พระมหาบุรุษความว่า ทุกรกิริยานี้จักไม่เป็นทางเพื่อการตรัสรู้ แต่อานาปานสติปฐมฌาน จักเป็นทางเพื่อการตรัสรู้แน่ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระพุทธองค์ทรงอธิษฐานจาตุรงคมหาปธาน มีใจความว่าอย่างไร ? ที่ไหน ? และได้รับผลอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> มีใจความว่า หากยังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้วจักไม่ลุกขึ้น แม้เนื้อและเลือดจะแห้งเหือดไป เหลือแต่หนัง เอ็น และกระดูกก็ตาม ฯ<br/>
ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ฯ<br/>
ได้รับผลคือ บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณสมดังพระหฤทัย ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระพุทธเจ้าหลังจากได้ตรัสรู้แล้ว ทรงเปล่งอุทานในยามสุดท้ายว่าอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ทรงเปล่งอุทานว่า เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้นพราหมณ์นั้น ย่อมกำจัดมารและเสนามารเสียได้ ดุจพระอาทิตย์อุทัยกำจัดมืดให้สว่างฉะนั้น ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ดวงตาเห็นธรรมปราศจากธุลี เกิดขึ้นแก่พระโกณฑัญญะ ความว่าอย่างไร ? ในขณะนั้น ท่านเป็นพระอริยบุคคลชั้นไหน ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ความว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา ฯ<br/>
ในขณะเป็นพระอริยบุคคลชั้นพระโสดาบัน ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระพุทธองค์ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาที่ไหนเป็นแห่งแรก ? ทรงเห็นประโยชน์อะไร จึงทรงประดิษฐาน ณ ที่นั้น ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> พระพุทธองค์ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาที่กรุงราชคฤห์ เป็นแห่งแรก ฯ<br/>
ทรงเห็นประโยชน์ว่า ทรงเห็นว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่บริบูรณ์มั่งคั่งและมีศาสดาเจ้าลัทธิมาก ถ้าได้โปรดคนเหล่านี้ให้เกิดความเลื่อมใสได้แล้ว การเผยแผ่พระพุทธศาสนาก็สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะศาสดาเจ้าลัทธิต่าง ๆ นั้น
ล้วนมีคนนับถือมาก ด้วยเหตุนี้จึงทรงเลือกเมืองนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนาเป็นแห่งแรก ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดชฎิล ๓ พี่น้องพร้อมบริวารโดยบังเอิญหรือโดยตั้งพระหฤทัยไว้ก่อน ? มีหลักฐานสนับสนุนคำตอบนั้นอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> โดยตั้งพระหฤทัยไว้ก่อน ฯ<br/>
มีหลกัฐานปรากฏว่า ในครั้งที่ทรงส่งพระสาวก ๖๐ องคแ์รกไปประกาศ พระพุทธศาสนาในที่ต่าง ๆ ทรงมีพระดำรัสว่า “แม้เราก็จะไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อจะแสดงธรรม” ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ที่สุดโต่งอันบรรพชิตไม่ควรเสพคืออะไรบ้าง ? ที่สุดโต่งนั้น มีโทษอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ที่สุดโต่ง คือ ๑. กามสุขัลลิกานุโยค ๒. อัตตกิลมถานุโยค ฯ มีโทษดังนี้<br/>
กามสุขัลลิกานุโยค คือ การประกอบตนให้พัวพันด้วยสุขในกาม เป็นธรรมอันเลว เป็นเหตุตั้งบ้านเรือน เป็นของคนมีกิเลสหนา ไม่ใช่ของคนอริยะ คือ ผู้บริสุทธิ์ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์<br/>
อัตตกิลมถานุโยค คือ การประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตนเปล่า ให้เกิดทุกข์ แก่ผู้ประกอบ ไม่ทำผู้ประกอบให้เป็นอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">“ท่านประพฤติพรหมจรรย์เพื่ออะไร” ใครเป็นผู้ถาม ใครเป็นผู้ตอบ ? และตอบว่าอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> พระสารีบุตรเป็นผู้ถาม พระปุณณมันตานีบุตรเป็นผู้ตอบ ฯ<br/>
ตอบว่า เราประพฤติพรหมจรรย์เพื่อความดับไม่มีเชื้อ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระอัสสชิเถระแสดงธรรมโดยย่อแก่อุปติสสปริพาชก ความว่าอย่างไร ? และได้ผลอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> มีใจความว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุของธรรมนั้น และความดับแห่งธรรมนั้น พระศาสดาทรงสั่งสอนอย่างนี้ ฯ<br/>
อุปติสสปริพาชกได้ฟังแล้ว ได้ธรรมจักษุมีดวงตาเห็นธรรม ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญพระสาวกองค์ใดว่า “ไม่ทำศรัทธาและโภคทรัพย์ของตระกูลให้เสีย” ? และทรงอุปมาเปรียบเทียบว่าอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ทรงสรรเสริญพระโมคคัลลานะ ฯ<br/>
ทรงอุปมาว่า “ประหนึ่งแมลงผึ้งอันเที่ยวไปในสวนดอกไม้ไม่ทำสีและกลิ่นของดอกไม้ให้ช้ำ ถือเอาแต่รสบินไป ฉะนั้น ” ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">“สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่ข้าพเจ้า ๆ ไม่ชอบใจหมด” เป็นคำพูดของใคร ? พระพุทธองค์ตรัสตอบว่าอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เป็นคำพูดของทีฆนขะ อัคคิเวสสนโคตร ฯ<br/>
ตรัสตอบว่า ถ้าอย่างนั้น ความเห็นอย่างนั้น ก็ต้องไม่ควรแก่ท่าน ท่านก็ต้องไม่ชอบความเห็นอย่างนั้น ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระมหากัสสปะกับพระรัฐบาล ออกบวชเพราะมีความคิดเห็นต่างกันอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> พระมหากัสสปะ ออกบวชเพราะคิดเห็นว่า ผู้อยู่ครองเรือนต้องคอยนั่งรับบาป เพราะการงานที่ผู้อื่นทำไม่ดี มีใจเบื่อหน่าย จึงสละสมบัติแล้วออกบวช<br/>
พระรัฐบาล ออกบวชเพราะมีความคิดเห็นตามธรรมุเทศ ๔ ข้อ ที่พระศาสดาทรงแสดงว่า<br/>
๑) โลกคือหมู่สัตว์ อันชราเป็นผู้นำ ๆ เข้าไปใกล้ไม่ยั่งยืน<br/>
๒) โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่จำเพาะตน<br/>
๓) โลกคือหมู่สัตว์ไม่มีอะไรเป็นของ ๆ ตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไป<br/>
๔) โลกคือหมู่สัตว์พร่องอยู่เป็นนิตย์ไม่รู้จักอิ่มเป็นทาสแห่งตัณหา ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระมหากัสสปเถระประพฤติธุดงควัตร เพราะเห็นอำนาจประโยชน์อย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เพราะเห็นอำนาจประโยชน์ ๒ อย่าง คือ<br/>
๑. การอยู่เป็นสุขในบัดนี้ของตน<br/>
๒. เพื่ออนุเคราะห์ประชุมชนในภายหลังจะได้เป็นทิฏฐานุคติแห่งคนผู้มาเกิดในภายหลัง เมื่อทราบว่า สาวกของพระพุทธเจ้าได้ประพฤติอย่างนี้เขาจะได้ประพฤติตาม ซึ่งเป็นทางอำนวยสุขแก่เขาเอง ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระพุทธโอวาท ๓ ข้อ ที่ทรงประธานแก่พระมหากัสสปะว่าอย่างไร ? จัดเข้าในการอุปสมบทวิธีใด ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> พระโอวาท ๓ ข้อว่าดังนี้<br/>
๑) กัสสปะ ท่านพึงศึกษาว่าเราจักเข้าไปตั้งความละอายและความยำเกรงไว้ในภิกษุทั้งที่เป็นผู้เฒ่า ทั้งที่เป็นผู้ใหม่ ทั้งที่เป็นปานกลาง อย่างแรงกล้า<br/>
๒) เราจักฟังธรรมอันใดอันหนึ่งซึ่งประกอบด้วยกุศล เราจักเงี่ยโสตฟังธรรมั้น พิจารณาเนื้อความ<br/>
๓) เราจักไม่ละสติเป็นไปในกาย คือ พิจารณากายเป็นอารมณ์ ฯ<br/>
จัดเข้าในเอหิภิกขุอุปสมบทวิธี ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระพุทธเจ้าตรัสสอนพระราธะว่า "สิ่งใดเป็นมาร ท่านจงละความกำหนัดพอใจในสิ่งนั้นเสีย" มารในที่นี้หมายถึงอะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> มาร หมายถึง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระภัททิยเถระ มักเปล่งอุทานเนืองๆ ว่า "สุขหนอๆ" ดังนี้ เพราะเหตุไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เพราะเมื่อก่อนท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ต้องจัดการรักษาป้องกันทั้งในวังนอกวัง ทั้งในเมืองนอกเมือง จนตลอดทั่วอาณาเขต แม้มีคนคอยรักษาอย่างนี้แล้ว ยังต้องหวาดระแวงสะดุ้งกลัวอยู่เป็นนิตย์ ครั้นทรง
ออกบวชได้บรรลุอรหัตผลแล้ว แม้อยู่ในที่ไหนๆ ก็ไม่หวาดระแวง ไม่สะดุ้งกลัว ไม่ต้องขวนขวาย มีใจปลอดโปร่ง เป็นอิสระแก่ตน จึงเปล่งอุทานเช่นนั้น ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">อาสยะ และ ปโยคะ ในสัตตูปการสัมปทา หมายถึงอะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> อาสยะ หมายถึง ความมีพระหฤทัยเยือกเย็นด้วยความกรุณา ปรารถนาคุณประโยชน์อยู่เป็นนิตย์ แม้ในบุคคลที่ทำผิดต่อพระองค์ มีพระเทวทัตเป็นต้น ก็ยังทรงกรุณา<br/>
ปโยคะ หมายถึง ความมีพระหฤทัยมิได้มุ่งหวังต่ออามิส เทศนาสั่งสอนสัตว์ด้วยข้อปฏิบัติ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ฯ<br/>
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระสารีบุตรปรินิพพานที่ไหน ? ท่านเลือกสถานที่นั้นเพราะเหตุไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> พระสารีบุตรปรินิพพาน ที่นาลันทคาม แคว้นมคธ ฯ<br/>
เพราะตั้งใจจะโปรดนางสารีพราหมณีผู้เป็นมารดาของท่าน ให้พ้นจากมิจฉาทิฏฐิก่อนที่ท่านจะปรินิพพาน ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ถูปารหบุคคล คือใคร ? มีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ถูปารหบุคคล คือ บุคคลผู้ควรแก่การสร้างสถูปไว้ประดิษฐาน ฯ<br/>
มี ๔ ประเภท ฯ ได้แก่<br/>
๑) พระสัมมาสัมพุทธเจ้า<br/>
๒) พระปัจเจกพุทธเจ้า<br/>
๓) พระอรหันตสาวก<br/>
๔) พระเจ้าจักรพรรดิราช ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">อายุสังขาราธิษฐานกับการปลงอายุสังขาร หมายถึงอะไร ? พระพุทธเจ้าทรงกระทำที่ไหน ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> อายุสังขาราธิษฐาน หมายถึง การที่พระพุทธเจ้าทรงตั้งพระหฤทัยว่า จักดำรง พระชนม์อยู่แสดงธรรมสั่งสอนมหาชน จนกว่าพุทธบริษัทจะตั้งมั่น และได้ประกาศพระศาสนาให้แพร่หลายมั่นคงสำเร็จประโยชน์แก่มหาชน ฯ พระพุทธเจ้าทรงกระทำที่ต้นอชปาลนิโครธ ใกล้สถานที่ตรัสรู้ ฯ<br/>
การปลงอายุสังขาร หมายถึง การที่พระพุทธเจ้าทรงกำหนดวันปรินิพพาน นับแต่วันเพ็ญเดือน ๓ ไปอีก ๓ เดือน ฯ พระพุทธเจ้าทรงกระทำที่ปาวาลเจดีย์ เมืองไพศาลี ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">อภิญญาเทสิตธรรม มีอะไรบ้าง ? ทรงแสดงแก่ใคร ? ที่ไหน ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> อภิญญาเทสิตธรรม ได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ ฯ<br/>
ทรงแสดงแก่ภิกษุสงฆ์ผู้อาศัยอยู่ในเมืองเวสาลี ฯ<br/>
ที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระสาวกผู้ได้รับการยกย่องเป็นเอตทัคคะหลายอย่างกว่าสาวกรูปอื่นคือใคร ? เป็นเอตทัคคะในทางใดบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> คือ พระอานนท์ ฯ<br/>
เอตทัคคะในทางดังนี้<br/>
๑) เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายที่เป็นพหูสูต<br/>
คือ การได้ยินมากได้ฟังมาก<br/>
๒) เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายที่มีคติ<br/>
คือ เป็นผู้รู้จักหลักการในการเรียนรู้<br/>
๓) เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายที่มีสติ<br/>
คือ มีความจำเป็นเลิศ<br/>
๔) เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายที่มีธิติ<br/>
คือ เป็นผู้มีความมั่นคง มีความเพียรในการเรียน<br/>
๕) เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายที่เป็นอุปัฏฐาก ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ภิกษุณีผู้มีชื่อต่อไปนี้ได้รับเอตทัคคะในทางไหน ?
ก. พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี<br/>
ข. พระเขมาเถรี<br/>
ค. พระอุบลวัณณาเถรี<br/>
ง. พระปฏาจาราเถรี<br/>
จ. พระธัมมทินนาเถรี</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ก. พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี ได้รับเอตทัคคะในทางรัตตัญญู<br/>
ข. พระเขมาเถรี ได้รับเอตทัคคะในทางมีปัญญา<br/>
ค. พระอุบลวัณณาเถรี ได้รับเอตทัคคะในทางมีฤทธิ์<br/>
ง. พระปฏาจาราเถรี ได้รับเอตทัคคะในทางทรงวินัย<br/>
จ. พระธัมมทินนาเถรี ได้รับเอตทัคคะในทางธรรมกถึก ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ในการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ พระพุทธสรีระส่วนใดยังคงเหลืออยู่ ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> พระอัฐิ พระเกสา พระโลมา พระนขา พระทันตา เหลืออยู่ นอกนั้นถูกเพลิงไหม้หมดสิ้น ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">สุภัททวุฑฒบรรพชิต กล่าวจาบจ้วงพระธรรมวินัยว่าอย่างไร ? และทำให้เกิดเหตุการณ์อะไรในกาลต่อมา ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ว่า “เราทั้งหลายพ้นดีแล้วจากพระสมณะนั้น บัดนี้ เราพอใจจะทำสิ่งใดก็ทำ หรือ มิพอใจทำสิ่งใดก็ไม่ต้องทำ” ฯ<br/>
เป็นเหตุให้เกิดสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๑ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระมหากัสสปะเถระชักชวนภิกษุทั้งหลายให้ทำสังคายนาครั้งแรก เพราะปรารภเหตุอะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เพราะปรารภเหตุ ๒ ประการ คือ<br/>
๑. ระลึกถึงคำของสุภัททวุฑฒบรรพชิตกล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัย<br/>
๒. ระลึกถึงอุปการคุณของพระพุทธเจ้าที่มีอยู่แก่ตน ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พุทธเจดีย์มีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? พระพุทธรูป สงเคราะห์เข้าในเจดีย์ประเภทใด ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> พุทธเจดีย์ มี ๔ ประเภท ฯ<br/>
คือ ธาตุเจดีย์ บริโภคเจดีย์ ธรรมเจดีย์ และ อุทเทสิกเจดีย์ ฯ<br/>
พระพุทธรูปสงเคราะห์เข้าในอุทเทสิกเจดีย์ ฯ
</li>
</ol>
</div>
<br/>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2983053855378828333.post-9986732136875357672023-10-30T23:25:00.000+07:002023-11-02T19:02:42.192+07:00เก็งข้อสอบนักธรรมชั้นเอก วิชาวินัยบัญญัติ ปีพ.ศ.๒๕๖๖<img id="myImg1" alt="เก็งข้อสอบวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นเอก พ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1080" data-original-width="1920" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhUmlsHB37S4Ot6rSFBptFKt6puysMzp_jlcohUoV06tVeEtA6bxf8BAkn-EDuhvbWd_cuT5ID2eY3JqekC1qL7LIPxU6kEWIGgyG-gf6Dn-fRgYd-N8uPLZiA7VCloNwZcb2LFyxdrM4KYFoMa09lzjcPsTi84hRPGkr8bihIG9FOoWcLrWvOb8Rv1Ob8/s1600-rw/winai-naktham-ek-2566.webp" title="เก็งข้อสอบวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นเอก พ.ศ.๒๕๖๖"/>
<br />
<br/>
<iframe allow="accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture" allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/AD2O9iq53Uo?&autoplay=1" title="เก็งข้อสอบวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นเอก ๒๕๖๖" width="560"></iframe>
<br />
<br /><span><a name='more'></a></span>
<style>
.list-container ol {
max-width: 100%;
font-family: "Roboto", sans-serif;
margin: 32px auto;
line-height: 1.8;
list-style: none;
counter-reset: list-counter;
}
.list-container img {
width: 100%;
border-radius: 8px;
margin: 20px 0;
}
.list-container li {
margin: 45px 28px;
position: relative;
}
.list-container li::before {
content: counter(list-counter);
counter-increment: list-counter;
position: absolute;
top: 0;
left: -50px;
border: 2px solid #ff9900;
border-radius: 50%;
width: 28px;
height: 28px;
display: flex;
align-items: center;
justify-content: center;
font-weight: bold;
background: #fff;
transition: all 200ms ease;
}
.list-container li:hover::before {
background: #ff9900;
color: #fff;
}
.list-container li::after {
content: "";
position: absolute;
left: -34px;
top: 42px;
height: calc(100% - 30px);
width: 1px;
background: #000;
}
.list-container li:last-child::after {
height: calc(100% - 50px);
}
.post-body ol>li:before {
content: counters(ify, '.') '.';
margin: 0 5px 0 0;
font-size: 12px;
}
#myImg1 {
border-radius: 12px;
}
</style>
<div class="list-container">
<ol>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
ภิกษุผู้ปรารถนาความตั้งอยู่ยั่งยืนของพระธรรมวินัย ควรปฏิบัติตนอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ควรตั้งอยู่ใน สีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา และลัชชีธรรม สำรวมในพระปาติโมกข์ ประกอบด้วยอาจาระและโคจระ เห็นภัยในโทษแม้เพียงเล็กน้อย สำเหนียกศึกษาในสิกขาบททั้งหลาย ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
สังฆกรรมมีอะไรบ้าง ? สังฆกรรมอะไรที่สงฆ์จตุวรรคทำไม่ได้ ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> สังฆกรรม มี<br/>
๑) อปโลกนกรรม<br/>
๒) ญัตติกรรม<br/>
๓) ญัตติทุติยกรรม<br/>
๔) ญัตติจตุตถกรรม ฯ<br/>
สังฆกรรมที่สงฆ์จตุวรรคทำไม่ได้ ได้แก่ ปวารณา, ให้ผ้ากฐิน, อุปสมบท และ อัพภาน สงฆ์จตุวรรคทำไม่ได้ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
ญัตติและอนุสาวนา หมายถึงอะไร ? ญัตติมีใช้ในสังฆกรรมอะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ญัตติ หมายถึง คำเผดียงสงฆ์<br/>
อนุสาวนา หมายถึง การสวดประกาศคำปรึกษาและข้อตกลงของสงฆ์ ฯ<br/>
ญัตติมีใช้ใน ๓ สังฆกรรม คือ<br/>
๑) ญัตติกรรม<br/>
๒) ญัตติทุติยกรรม<br/>
๓) ญัตติจตุตถกรรม ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
สีมา คืออะไร ? มีความสำคัญอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> สีมา คือ เขตประชุมของสงฆ์ผู้ทำสังฆกรรม ฯ<br/>
มีความสำคัญ เพื่อจะกำหนดรู้เขตประชุมแห่งสงฆ์ที่ประชุมกันทำสังฆกรรม มีการให้อุปสมบทแก่กุลบุตรเป็นตน้ ที่พระศาสดาทรงอนุญาตให้สงฆ์พร้อมเพรียงกันทำ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
สีมามีกี่ประเภท ? วิสุงคามสีมา จัดเข้าในประเภทไหน ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> สีมา มี ๒ ประเภท คือ<br/>
๑) พัทธสีมา<br/>
๒) อพัทธสีมา ฯ<br/>
วิสุงคามสีมา จัดเข้าในประเภทดังนี้<br/>
เมื่อสงฆ์ยังไม่ผูก จัดเป็น อพัทธสีมา<br/>
ครั้นสงฆ์ผูกแล้ว จัดเป็น พัทธสีมา ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
สีมาสังกระ คืออะไร ? สงฆ์จะทำสังฆกรรมในสีมาเช่นนั้นได้หรือไม่อย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> สีมาสังกระ คือ สีมาที่สมมติคาบเกี่ยวกันระหว่างสีมาที่สมมติไว้เดิมและสีมาที่สมมติขึ้นใหม่ ฯ<br/>
สงฆ์จะทำสังฆกรรมในสีมาที่สมมติไว้เดิมได้ แต่ทำในสีมาที่สมมติขึ้นใหม่ไม่ได้ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
คำว่า “เจ้าอธิการ” ในพระวินัยหมายถึงใคร ? มีกี่แผนก ? อะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เจ้าอธิการ หมายถึง ภิกษุที่สงฆ์สมมติให้เป็นหน้าที่ทำกิจการของสงฆ์ ฯ<br/>
มี ๕ แผนก ฯ ได้แก่<br/>
๑) เจ้าอธิการแห่งจีวร<br/>
๒) เจ้าอธิการแห่งอาหาร<br/>
๓) เจ้าอธิการแห่งเสนาสนะ<br/>
๔) เจ้าอธิการแห่งอาราม<br/>
๕) เจ้าอธิการแห่งคลัง ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
ภิกษุผู้ควรได้รับสมมติให้เป็นภัตตุทเทสกะ ต้องประกอบด้วยคุณสมบัติเช่นไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ต้องประกอบด้วยคุณสมบัติดังนี้คือ<br/>
๑. เว้นอคติ ๔ คือ ฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติ ภยาคติ<br/>
๒. รู้จักภัตรที่ควรแจก หรือมิควรแจก<br/>
๓. รู้จักลำดับที่พึงแจก ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
กฐิน มีชื่อมาจากอะไร ? ผ้าที่เป็นกฐินได้มีอะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> กฐิน มีชื่อมาจากไม้สะดึงที่ลาดหรือกางออกสำหรับขึงจีวรเพื่อเย็บ ฯ<br/>
ผ้าที่เป็นกฐินได้ มีดังนี้<br/>
๑) ผ้าใหม่<br/>
๒) ผ้าเทียมใหม่ คือผ้าฟอกสะอาดแล้ว<br/>
๓) ผ้าเก่า<br/>
๔) ผ้าบังสุกุล<br/>
๕) ผ้าที่ตกตามร้านตลาดซึ่งเขานำมาถวายสงฆ์ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
ผ้าที่ไม่ทรงอนุญาตให้ใช้เป็นผ้ากฐิน ได้แก่ผ้าเช่นไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ผ้าที่ไม่ทรงอนุญาตให้ใช้เป็นผ้ากฐิน คือ<br/>
๑. ผ้าที่ไม่ได้เป็นสิทธิ์ เช่น ผ้าที่ขอยืมเขามา<br/>
๒. ผ้าที่ได้มาโดยอาการอันมิชอบ คือ ทำนิมิตได้มา พูดเลียบเคียงได้มา และผ้าเป็นนิสสัคคีย์<br/>
๓. ผ้าที่ได้มาโดยบริสุทธิ์ แต่เก็บค้างคืนไว้ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
กรานกฐิน ได้แก่การทําอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> กรานกฐิน ได้แก่ เมื่อมีผ้าเกิดขึ้นแก่สงฆ์ในเดือนท้ายฤดูฝน พอจะทําเป็นไตรจีวรผืนใดผืนหนึ่งได้ สงฆ์พร้อมใจกันยกให้แก่ภิกษุรูปหนึ่ง ผู้
เหมาะสม ภิกษุผู้ได้รับผ้านั้น นําไปทําเป็นจีวรผืนใดผืนหนึ่ง ให้แล้วเสร็จในวันนั้น แล้วมาบอกแก่ภิกษุผู้ยกผ้านั้นให้เพื่ออนุโมทนา ภิกษุ
เหล่านั้นอนุโมทนา ทั้งหมดนี้คือ กรานกฐิน ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
ผู้จะเข้ามาอุปสมบทเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาต้องประกอบด้วยคุณสมบัติอะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ผู้จะเข้ามาอุปสมบทต้องประกอบด้วยคุณสมบัติ ๕ ประการ คือ<br/>
๑. เป็นชาย<br/>
๒. มีอายุครบ ๒๐ ปี<br/>
๓. ไม่เป็นมนุษย์วิบัติ เช่น ถูกตอน หรือเป็นกะเทย เป็นต้น<br/>
๔. ไม่เคยทำอนันตริยกรรม<br/>
๕. ไม่เคยต้องปาราชิก หรือไม่เคยเข้ารีตเดียรถีย์ทั้งที่เป็นภิกษุ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
ในอุปสมบทกรรม อภัพพบุคคล หมายถึงใคร ? จำแนกโดยประเภทมีเท่าไร ? อะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> อภัพพบุคคล หมายถึง บุคคลที่ทรงห้ามไม่ให้อุปสมบท ฯ<br/>
จำแนกโดยประเภทมี ๓ ประเภท ได้แก่<br/>
๑) เพศบกพร่อง<br/>
๒) ประพฤติผิดพระธรรมวินัย<br/>
๓) ประพฤติผิดต่อกำเนิดของเขาเอง ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
ญัตติ กับ อนุสาวนา ต่างกันอย่างไร ? มีใช้ในสังฆกรรมอะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ญัตติ คือ การเผดียงสงฆ์<br/>
อนุสาวนา คือ การประกาศความปรึกษาและตกลงของสงฆ์ ฯ<br/>
ญัตติมีใช้ใน ญัตติกรรม ญัตติทุติยกรรม และญัตติจตุตถกรรม<br/>
อนุสาวนามีใช้เฉพาะใน ญัตติทุติยกรรม และญัตติจตุตถกรรม ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
การบอกนิสสัย ๔ และ อกรณียะ ๔ บอกในเวลาใด ? และใครเป็นผู้บอก ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ท่านให้บอกในลำดับแห่งอุปสมบทแล้ว ห้ามไม่ให้บอกก่อนหน้าอุปสมบท ฯ<br/>
อุปัชฌายะบอกก็ได้ กรรมวาจาจารย์หรืออนุสาวนาจารย์บอกก็ได้ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
ภิกษุผู้ก่อวิวาทาธิกรณ์ อย่างไรชื่อว่าปรารถนาดี อย่างไรชื่อว่าปรารถนาเลว ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ผู้ก่อวิวาทเพราะเห็นแก่พระธรรมวินัย (ปราศจากโลภะ โทสะ โมหะ) ชื่อว่า ทำด้วยปรารถนาดี<br/>
ผู้ก่อวิวาทด้วยทิฐิมานะแม้รู้ว่าผิดก็ขืนทำ (ประกอบด้วยโลภะ โทสะ โมหะ) ชื่อว่า ทำด้วยปรารถนาเลว ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
สัมมุขาวินัยมีองค์เท่าไร ? อะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> มีองค์ ๔ ฯ คือ<br/>
๑) ในที่พร้อมหน้าสงฆ์<br/>
๒) ในที่พร้อมหน้าธรรม<br/>
๓) ในที่พร้อมหน้าวินัย<br/>
๔) ในที่พร้อมหน้าบุคคล ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
พระอรรถกถาจารย์แสดงลักษณะปกปิดอาบัติสังฆาทิเสสไว้เป็น ๕ คู่ อย่างไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> แสดงไว้ ๕ คู่ ดังนี้<br/>
๑. เป็นอาบัติ และรู้ว่าเป็นอาบัติ<br/>
๒. เป็นปกตัตตะ และรู้ว่าเป็นปกตัตตะ<br/>
๓. ไม่มีอันตราย และรู้ว่าไม่มีอันตราย<br/>
๔. อาจอยู่ และรู้ว่าอาจอยู่<br/>
๕. ใคร่จะปิด และปิดไว้ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
รัตติเฉท หมายถึงอะไร ? มีอะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> รัตติเฉท หมายถึง การขาดราตรีแห่ง (การประพฤติ) มานัต ฯ มี<br/>
๑) อยู่ร่วม<br/>
๒) อยู่ปราศ<br/>
๓) ไม่บอก<br/>
๔) ประพฤติในคณะอันพร่อง ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
วุฏฐานวิธี แปลว่าอะไร ? ประกอบด้วยอะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> วุฏฐานวิธี แปลว่า ระเบียบเป็นเครื่องออกจากอาบัติ ฯ<br/>
ประกอบด้วย ปริวาส มานัต ปฏิกัสสนา และ อัพภาน ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ ก. ปริวาส ข. อัพภาน ฯ</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ปริวาส ได้แก่ การประพฤติวัตรพิเศษอย่างหนึ่งเท่าจำนวนวันที่ภิกษุผู้ต้องอาบัติ สังฆาทิเสสแล้วปกปิดไว้ ฯ<br/>
อัพภาน ได้แก่ การที่สงฆ์สวดระงบัอาบัติสังฆาทิเสส ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
อุกเขปนียกรรม และ นิยสกรรม สงฆ์พึงลงแก่ภิกษุเช่นไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> อุกเขปนียกรรม พึงลงแก่ภิกษุไม่เห็นอาบัติผู้ไม่ทำคืนอาบัติหรือผู้ไม่สละทิฏฐิบาป<br/>
นิยสกรรม พึงลงแก่ภิกษุผู้มีอาบัติมาก หรือคลุกคลีกับคฤหัสถ์ด้วยการคลุกคลีอันไม่ควร ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
ในทางพระวินัย "การคว่ำบาตร" หมายถึงอะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> การคว่ำบาตร หมายถึง การไม่ให้คบหาสมาคมด้วย<br/>
ลักษณะ ๓ ประการ คือ<br/>
๑) ไม่รับบิณฑบาตของเขา<br/>
๒) ไม่รับนิมนต์ของเขา<br/>
๓) ไม่รับไทยธรรมของเขา ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
นาสนา คืออะไร ? บุคคลเช่นไรที่ทรงอนุญาตให้นาสนา ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> นาสนา คือ การยังบุคคลผู้ไม่สมควรถือเพศภิกษุและสามเณร ให้สละเพศเสีย ฯ<br/>
บุคคลที่ทรงอนุญาตให้นาสนา มี ๓ ประเภท คือ<br/>
๑) ภิกษุต้องอันติมวัตถุแล้ว ยังปฏิญญาตนเป็นภิกษุ<br/>
๒) บุคคลผู้อุปสมบทไม่ขึ้น ได้รับอุปสมบทแต่สงฆ์<br/>
๓) สามเณรผู้ประกอบด้วยองค์ ๑๐ ข้อใดข้อหนึ่ง เช่น เป็นผู้มักผลาญชีวิตสัตว์ เป็นต้น ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
ภิกษุประพฤติผิดธรรมวินัยอย่างไร จึงทรงอนุญาตให้สงฆ์ลงอุกเขปนียกรรมได้ ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ภิกษุประพฤติผิดอย่างนี้ คือ ไม่เห็นอาบัติ ไม่ทําคืนอาบัติ หรือ ไม่สละทิฏฐิบาป ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
เจ้าอาวาส ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๔ ใครเป็นผู้แต่งตั้ง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> สมเด็จพระสังฆราช ทรงมีพระบัญชาแต่งตั้งเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ตามมติมหาเถรสมาคม เจ้าคณะจังหวัด แต่งตั้งเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์มาตรา ๓๗ ระบุหน้าที่เจ้าอาวาสไว้กี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ระบุไว้ ๔ อย่าง ฯ คือ<br/>
๑. บํารุงรักษาวัด จัดกิจการและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี<br/>
๒. ปกครองและสอดส่องให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ที่มีที่อยู่หรือพํานักอาศัยอยู่ในวัดนั้น ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย กฎมหาเถรสมาคม ข้อบังคับ ระเบียบ หรือ คําสั่งของมหาเถรสมาคม<br/>
๓. เป็นธุระในการศึกษาอบรมและสั่งสอนพระธรรมวินัยแก่บรรพชิตและคฤหัสถ์<br/>
๔. ให้ความสะดวกตามสมควรในการบําเพ็ญกุศล ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
กรรมการมหาเถรสมาคมซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้ง พ้นจากตำแหน่งเมื่อใด ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> พ้นเมื่อ<br/>
๑. มรณภาพ<br/>
๒. พ้นจากความเป็นพระภิกษุ<br/>
๓. ลาออก<br/>
๔. สมเด็จพระสังฆราชมีพระบัญชาให้ออก<br/>
๕. อยู่ครบวาระ ๒ ปี ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
องค์กรปกครองคณะสงฆ์สูงสุด เรียกว่าอะไร ? มีกําหนดองค์ประกอบไว้อย่างไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> องค์กรปกครองคณะสงฆ์สูงสุด เรียกว่า มหาเถรสมาคม ฯ<br/>
มีกําหนดองค์ประกอบไว้ดังนี้ สมเด็จพระสังฆราชทรงดํารงตําแหน่งประธานกรรมการโดยตําแหน่ง สมเด็จพระราชาคณะทุกรูป เป็นกรรมการ โดยตําแหน่ง และพระราชาคณะซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งมีจํานวนไม่เกิน ๑๒ รูป เป็นกรรมการ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
ผู้ใดใส่ความคณะสงฆ์หรือคณะสงฆ์อื่นอันอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียหรือความแตกแยก มีโทษอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒ หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ฯ
</li>
</ol>
</div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2983053855378828333.post-14383785077815574772023-10-29T06:00:00.000+07:002023-10-30T22:35:24.876+07:00เก็งข้อสอบนักธรรมชั้นโท วิชาธรรมวิภาค ปีพ.ศ.๒๕๖๖<img id="myImg1" alt="เก็งข้อสอบวิชาธรรมวิภาค นักธรรมชั้นโท พ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1080" data-original-width="1920" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg0328jpd6nPhXfPN62iYOSEef6zG0HRKalavpcj-Je_e544NW0pf2JYWbuCkovYoRiF6jA2ccuZA5I4lto6hCHWET1DFB73VKMjxE8oy2_ZBeyV2wqr6zAVHQsWv9v9_-sBiv7MeZg1CpcLgBkC2BABVaETXeurDEZF1JeSaUK-5W8u91vzCvVJS9n8RQ/s1600-rw/dharma-naktham-tho-2566.webp" title="เก็งข้อสอบวิชาธรรมวิภาค นักธรรมชั้นโท พ.ศ.๒๕๖๖" />
<br/>
<br/>
<iframe allow="accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture" allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/JSiCJhAbKaE?&autoplay=1" title="เก็งข้อสอบวิชาธรรมวิภาค นักธรรมชั้นโท ๒๕๖๖" width="560"></iframe>
<br />
<br /><span><a name='more'></a></span>
<style>
.list-container ol {
max-width: 100%;
font-family: "Roboto", sans-serif;
margin: 32px auto;
line-height: 1.8;
list-style: none;
counter-reset: list-counter;
}
.list-container img {
width: 100%;
border-radius: 8px;
margin: 20px 0;
}
.list-container li {
margin: 45px 28px;
position: relative;
}
.list-container li::before {
content: counter(list-counter);
counter-increment: list-counter;
position: absolute;
top: 0;
left: -50px;
border: 2px solid #ff9900;
border-radius: 50%;
width: 28px;
height: 28px;
display: flex;
align-items: center;
justify-content: center;
font-weight: bold;
background: #fff;
transition: all 200ms ease;
}
.list-container li:hover::before {
background: #ff9900;
color: #fff;
}
.list-container li::after {
content: "";
position: absolute;
left: -34px;
top: 42px;
height: calc(100% - 30px);
width: 1px;
background: #000;
}
.list-container li:last-child::after {
height: calc(100% - 50px);
}
.post-body ol>li:before {
content: counters(ify, '.') '.';
margin: 0 5px 0 0;
font-size: 12px;
}
#myImg1 {
border-radius: 12px;
}
</style>
<div class="list-container">
<ol>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ตจปัญจกกัมมัฏฐาน มีอะไรบ้าง ? เป็นอารมณ์ของสมถกัมมัฏ ฐานหรือของวิปัสสนากัมมัฏฐาน ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> มี เกสา ผม โลมา ขน นขา เล็บ ทนฺตา ฟัน และตโจ หนัง ฯ<br/>
เป็นอารมณ์ได้ทั้งสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ราคะ โลภะ อิสสา กลิ่น รส อย่างไหนเป็นกิเลสกาม อย่างไหนเป็นวัตุกาม ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ราคะ โลภะ อิสสา เป็นกิเลสกาม กลิ่น รส เป็นวัตถุกาม ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ปฏิสันถาร มีอะไรบ้าง ? มีประโยชน์แก่ผู้ทำอย่างไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ปฏิสันถาร มี ๒ คือ<br/>
๑) อามิสปฏิสันถาร ต้อนรับด้วยสิ่งของ <br/>
๒) ธัมมปฏิสันถาร ต้อนรับโดยธรรม ฯ<br/>
มีประโยชน์อย่างนี้ คือ<br/>
๑) เป็นอุบายสร้างความสามัคคีและยึดเหนี่ยวน้ำใจกัน<br/>
๒) เป็นการรักษาไมตรีจิตระหว่างกันและกันให้มั่นคงยิ่งขึ้น ฯ<br/>
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">เจโตวิมุตติ กับ ปัญญาวิมุตติ ต่างกันอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เจโตวิมุตติ เป็นวิมุตติของท่านผู้ได้บรรลุฌานมาก่อนแล้ว จึงบําเพ็ญวิปัสสนาต่อ<br/>
ปัญญาวิมุตติ เป็นวิมุตติของท่านผู้ได้บรรลุด้วยลําพังบําเพ็ญ วิปัสสนาล้วน<br/>
อีกนัยหนึ่ง เรียกเจโตวิมุตติเพราะพ้นจากราคะ เรียกปัญญาวิมุตติเพราะพ้นจากอวิชชา ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระอริยบุคคล ๘ จำพวก จำพวกไหนชื่อว่าพระเสขะ และพระอเสขะ ? เพราะเหตุไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> พระอริยบุคคล ๗ เบื้องต้น ชื่อว่าพระเสขะ เพราะเป็นผู้ยังต้องปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลเบื้องสูง ฯ<br/>
พระอริยบุคคลผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตผล ชื่อว่าพระอเสขะ เพราะเสร็จกิจอันจะต้องทําแล้ว ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ความตริ (ความคิด) ในฝ่ายชั่ว เรียกว่าอะไร ? มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ความตริ (ความคิด) ในฝ่ายชั่ว เรียกว่า อกุศลวิตก ฯ<br/>
มี ๓ อย่าง ฯ คือ<br/>
๑) กามวิตก ความตริในทางกาม<br/>
๒) พยาบาทวิตก ความตริในทางพยาบาท<br/>
๓) วิหิงสาวิตก ความตริในทางเบียดเบียน ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">บุคคลผู้ถือความถูกต้องเป็นใหญ่ทำด้วยเมตตา กรุณา เป็นต้น จัดเข้าในอธิปเตยยะข้อไหน ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> จัดเข้าในธัมมาธิปเตยยะได้ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ญาณ ๓ ที่เป็นไปในทุกขสมุทัยมีอธิบายอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสมุทัย จัดเป็นสัจจญาณ<br/>
ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขสมุทัย เป็นสภาพที่ควรละ จัดเป็นกิจจญาณ<br/>
ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขสมุทัย เป็นสภาพที่ละได้แล้ว จัดเป็นกตญาณ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">สังโยชน์คืออะไร ? พระโสดาบันละสังโยชน์อะไรได้ขาดบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> สังโยชน์ คือ กิเลสอันผูกใจสัตว์ไว้ ฯ<br/>
พระโสดาบันละสังโยชน์ ๓ เบื้องต้น คือ<br/>
๑. สักกายทิฏฐิ<br/>
๒. วิจิกิจฉา<br/>
๓. สีลัพพตปรามาส ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ปาฏิหาริย์คืออะไร ? พระพุทธเจ้าทรงยกย่องปาฏิหาริย์ อะไรว่าเป็นอัศจรรย์ยิ่งกว่าปาฏิหาริย์อื่น ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ปาฏิหาริย์ คือ การกระทำที่ให้บังเกิดผลเป็นอัศจรรย์ ฯ<br/>
พระพุทธเจ้าทรงยกย่องอนุสาสนีปาฏิหาริย์ว่าเป็นอัศจรรย์ยิ่งกว่าปาฏิหาริย์อื่น
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">อุปาทาน คืออะไร ? การถือเราถือเขาด้วยอำนาจมานะ จนเป็นเหตุถือพวก จัดเป็นอุปาทานอะไร ในอุปาทาน ๔ ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> อุปาทาน คือ การถือมั่นข้างเลว ได้แก่ถือรั้น ฯ<br/>
จัดเป็น อัตตวาทุปาทาน ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">กิเลส ชื่อว่า โอฆะ โยคะ และอาสวะ เพราะเหตุไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ชื่อว่า โอฆะ เพราะดุจเป็นกระแสน้ำอันท่วมใจสัตว์<br/>
ชื่อว่า โยคะ เพราะประกอบสัตวไว้ในภพ<br/>
ชื่อว่า อาสวะ เพราะเป็นสภาพหมักหมมอยู่ในสันดาน ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">กิจในอริยสัจ ๔ มีอะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> กิจในอริยสัจ ๔ ได้แก่<br/>
๑) ปริญญา กำหนดรู้ทุกขสัจ<br/>
๒) ปหานะ ละสมุทัยสัจ<br/>
๓) สัจฉิกรณะ ทำให้แจ้งนิโรธสัจ<br/>
๔) ภาวนา ทำมัคคสัจให้เกิด ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">อปัสเสนธรรม ข้อว่า “พิจารณาแล้วบรรเทาของอย่างหนึ่ง” ของอย่างหนึ่งนั้นคืออะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ของอย่างหนึ่ง คือ อกุศลวิตกอันสัมปยุตด้วย กาม พยาบาท วิหิงสา ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">เมตตา มีความหมายว่าอย่างไร ? เมตตาในพรหมวิหารและในอัปปมัญญา ต่างกันอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เมตตา หมายถึง ปรารถนาความสุขความเจริญต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ ฯ<br/>
ต่างกันโดยวิธีแผ่ คือ<br/>
๑) แผ่โดยเจาะจงก็ดี โดยไม่เจาะจงก็ดี จัดเป็นพรหมวิหาร<br/>
๒) ถ้าแผ่โดยไม่เจาะจงไม่จำกัด จัดเป็นอัปปมัญญา ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">สังวรคืออะไร ? สติสังวรสำรวมด้วยสตินั้น มีอธิบายอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> สังวร คือการสำรวมระวังปิดกั้นอกุศล ฯ<br/>
สติสังวร อธิบายว่า สำรวมอินทรีย์มีจักษุเป็นต้น ระวังรักษามิให้อกุศลกรรมเข้าครอบงำ เมื่อเห็นรูปเป็นต้น ทั้งมีสติไม่หลงลืม ระลึกได้ก่อนแต่ทำ พูด คิด ไม่ให้ผิดทางกาย วาจา ใจ ไม่ประมาทหลงทำกรรมชั่ว ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ในวิมุตติ ๕ วิมุตติอย่างไหนเป็นโลกิยะ อย่างไหนเป็นโลกุตตระ ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ตทังควิมุตติ และ วิกขัมภนวิมุตติ จัดเป็นโลกิยะ<br/>
สมุจเฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ และนิสสรณวิมุตติ จัดเป็นโลกุตตระ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">จริต คือ อะไร ? คนมีปกติเชื่อง่ายเป็นจริตอะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> จริต คือ พื้นเพอัธยาศัยของบุคคลที่แสดงออกมาตามปกติเป็นประจำ ฯ<br/>
คนมีปกติเชื่อง่ายเป็น สัทธาจริต ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">คนมีปกติรักสวยรักงาม จัดเป็นจริตอะไร ? จะพึงแก้ได้ด้วยการพิจารณากรรมฐานข้อใดได้บ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> คนมีปกติรักสวยรักงาม จัดเป็นราคจริต ฯ<br/>
จะพึงแก้ได้ด้วยการพิจารณา กายคตาสติ หรือ อสุภกรรมฐาน ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">อนุสัย หมายถึงกิเลสประเภทไหน ? ได้ชื่อเช่นนั้นเพราะเหตุไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> อนุสัย หมายถึง กิเลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน ฯ<br/>
ได้ชื่อว่าอนุสัย เพราะกิเลสชนิดนี้บางทีไม่ปรากฏ แต่เมื่อมีอารมณ์มายั่ว ย่อมเกิดขึ้นในทันใด ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">กิเลสที่ได้ชื่อว่า อนุสัย และ ได้ชื่อว่าสังโยชน์ มีอธิบายอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> กิเลสที่ได้ชื่อว่า อนุสัย เพราะเป็นกิเลสอย่างละเอียด นอนเนื่องอยู่ในสันดานของสัตว์มักไม่ปรากฏ ต่อเมื่อมีอารมณ์มายั่วจึงปรากฏขึ้น<br/>
กิเลสที่ได้ชื่อว่า สังโยชน์ เพราะเป็นกิเลสที่ผูกใจสัตว์ไว้กับภพไม่ให้หลุดพ้น ไปได้
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ในอวิชชา ๘ ข้อที่ว่า ไม่รู้จักอนาคต มีอธิบายว่าอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ข้อที่ว่า ไม่รู้จักอนาคต มีอธิบายว่า ไม่รู้จักคิดล่วงหน้า ไม่อาจปรารภการที่ทำ หรือเหตุอันเกิดขึ้นในปัจจุบันว่าจักมีผลเป็นอย่างนั้น ๆ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระพุทธคุณ บทว่า อรหํ แปลว่าอย่างไรได้บ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> อรหํ แปลว่า<br/>
๑. เป็นผู้เว้นไกลจากกิเลสและบาปกรรม<br/>
๒. เป็นผู้หักกำแห่งสังสารจักร<br/>
๓. เป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอนเขา<br/>
๔. เป็นผู้ควรรับความเคารพนับถือของเขา<br/>
๕. เป็นผู้ไม่มีข้อลับ ไม่ได้ทำความเสียหายอันจะพึงซ่อนเพื่อมิให้คนอื่นรู้ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พุทธคุณ ๒ ก็มี พุทธคุณ ๓ ก็มี พุทธคุณ ๙ ก็มี จงแจกแจง แต่ละอย่างว่ามีอะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> พุทธคุณ ๒ คือ อัตตหิตสมบัติ ความถึงแห่งประโยชน์ตน และปรหิตปฏิบัติ การปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่น<br/>
พุทธคุณ ๓ คือ พระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ และพระกรุณาคุณ<br/>
พุทธคุณ ๙ คือ อรหํ , สมฺมาสมฺพุทฺโธ, วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน, สุคโต, โลกวิทู, อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ, สตฺถา เทวมนุสฺสานํ , พุทฺโธ, ภควา ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">คำว่า พระสงฆ์ ในบทสังฆคุณนั้น ท่านประสงค์บุคคลเช่นไร ? จงจำแนกมาดู</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ท่านประสงค์พระอริยบุคคล ๔ คู่ ๘ บุคคล ซึ่งล้วนแต่ท่านผู้ที่ตั้งอยู่ในมรรคผลทั้งสิ้น จำแนกได้ดังนี้<br/>
พระโสดาปัตติมรรค พระโสดาปัตติผล คู่ ๑<br/>
พระสกทาคามิมรรค พระสกทาคามิผล คู่ ๑<br/>
พระอนาคามิมรรค พระอนาคามิผล คู่ ๑<br/>
พระอรหัตมรรค พระอรหัตตผล คู่ ๑ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">บารมี คืออะไร ? ทำอย่างไร เรียกว่าอธิษฐานบารมี ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> บารมี คือ ปฏิปทาอันยิ่งยวด หรือคุณธรรมที่ประพฤติอย่างยิ่งยวด ได้แก่ความดีที่บำเพ็ญอย่างพิเศษ เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุด ฯ<br/>
ทำอย่างนี้คือ ความตั้งใจมั่นตัดสินใจเด็ดเดี่ยว วางจุดหมายแห่งการกระทำของตนไว้แน่นอน และดำเนินตามนั้นอย่างแน่วแน่ เรียกว่า อธิษฐานบารมี ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ครุกรรม คืออะไร ? อนันตริยกรรม กับ สมาบัติ ๘ เป็นครุกรรมฝ่ายกุศลหรืออกุศล ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ครุกรรม คือ กรรมหนัก ฯ<br/>
อนันตริยกรรม เป็นครุกรรมฝ่ายอกุศล<br/>
ส่วนสมาบัติ ๘ เป็นครุกรรมฝ่ายกุศล ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ในกรรม ๑๒ อุปัตถัมภกกรรม กับอุปปีฬกกรรม ทำหน้าที่ต่างกันอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> อุปัตถัมภกกรรม ทำหน้าที่สนับสนุนผลแห่งชนกกรรม<br/>
อุปปีฬกกรรม ทำหน้าที่บีบคั้นผลแห่งชนกกรรม ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ธุดงค์ คืออะไร ? มีกี่หมวด ? หมวดไหนว่าด้วยเรื่องอะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ธุดงค์ คือ วัตตจริยาพิเศษอย่างหนึ่ง เป็นอุบายขัดเกลากิเลสและเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ มี ๔ หมวด ฯ ดังนี้<br/>
หมวดที่ ๑ ว่าด้วยเรื่องจีวร<br/>
หมวดที่ ๒ ว่าด้วยเรื่องบิณฑบาต<br/>
หมวดที่ ๓ ว่าด้วยเรื่องเสนาสนะ<br/>
หมวดที่ ๔ ว่าด้วยเรื่องความเพียร ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ธุดงค์ ท่านบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร ? ภิกษุผู้ถือบิณฑบาต เป็นวัตรอย่างเคร่ง ท่านให้ถือปฏิบัติอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เพื่อประโยชน์คือเป็นอุบายขัดเกลากิเลสและเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ<br/>
ภิกษุผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตรอย่างเคร่ง คือ เมื่อเลิกบิณฑบาต นั่งลงแล้ว แม้มีผู้มาใส่บาตรอีก ก็ไม่รับ ฯ
</li>
</ol>
</div>
<br/>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2983053855378828333.post-4132361448066552322023-10-29T05:30:00.000+07:002023-10-30T22:34:43.694+07:00เก็งข้อสอบนักธรรมชั้นโท วิชาอนุพุทธประวัติ ปีพ.ศ.๒๕๖๖<img id="myImg1" alt="เก็งข้อสอบวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท พ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1080" data-original-width="1920" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiJ-I0FWjwA-p_E44pJWjK7LhfiEKVngfbn-v68Ql-Xz2P_gWXE5es5cgNusiPIg95zgJKy4OtMKCq6Bg6qQqgfnYxeHSxwWCVrTqgRAAXffocUj6zUcydVko7vlbOlIBlfZpb-EUkOdrCBMazOUvOBnmtWYt4jOxGBZeDA7snkBnpJu6mGSg5Xsm1MgoI/s1600-rw/phuttha-prawat-naktham-tho-2566.png" title="เก็งข้อสอบวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท พ.ศ.๒๕๖๖"/>
<br />
<br/>
<iframe allow="accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture" allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/oIfKBW4LqDU?&autoplay=1" title="เก็งข้อสอบวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท ๒๕๖๖" width="560"></iframe>
<br />
<br /><span><a name='more'></a></span>
<style>
.list-container ol {
max-width: 100%;
font-family: "Roboto", sans-serif;
margin: 32px auto;
line-height: 1.8;
list-style: none;
counter-reset: list-counter;
}
.list-container img {
width: 100%;
border-radius: 8px;
margin: 20px 0;
}
.list-container li {
margin: 45px 28px;
position: relative;
}
.list-container li::before {
content: counter(list-counter);
counter-increment: list-counter;
position: absolute;
top: 0;
left: -50px;
border: 2px solid #ff9900;
border-radius: 50%;
width: 28px;
height: 28px;
display: flex;
align-items: center;
justify-content: center;
font-weight: bold;
background: #fff;
transition: all 200ms ease;
}
.list-container li:hover::before {
background: #ff9900;
color: #fff;
}
.list-container li::after {
content: "";
position: absolute;
left: -34px;
top: 42px;
height: calc(100% - 30px);
width: 1px;
background: #000;
}
.list-container li:last-child::after {
height: calc(100% - 50px);
}
.post-body ol>li:before {
content: counters(ify, '.') '.';
margin: 0 5px 0 0;
font-size: 12px;
}
#myImg1 {
border-radius: 12px;
}
</style>
<div class="list-container">
<ol>
<li>
<b><span style="color: #003380;">อนุพุทธบุคคล คือใคร ? มีความสำคัญอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> อนุพุทธบุคคล คือ สาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า ฯ<br/>
อนุพุทธบุคคลเป็นสังฆรัตนะในรัตนะ ๓ เป็นพยานยืนยันความ ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และเป็นกำลังสำคัญช่วยพระองค์ประกาศ พระพุทธศาสนา อันเป็นประโยชน์สุขแก่ชนเป็นอันมาก จนแพร่หลายมาถึงปัจจุบัน ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พุทธบุคคล มีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> พุทธบุคคล มี ๓ ประเภท ฯ คือ<br/>
๑. สัมมาสัมพุทธะ ตรัสรู้เองโดยชอบ และสอนผู้อื่นให้รู้ตามได้ด้วย<br/>
๒. ปัจเจกพุทธะ ตรัสรู้เฉพาะตน แต่ไม่สามารถสอนผู้อื่นให้รู้ตามได้<br/>
๓. อนุพุทธะ ตรัสรู้ตาม คือมีพระพุทธเจ้าสั่งสอนจึงรู้ตามได้ และ สามารถสอนผู้อื่นให้กระทําตามด้วย ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">โกณฑัญญพราหมณ์ มีเหตุจูงใจอะไร จึงได้ออกบวช ตามพระมหาบุรุษ ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เพราะเคยเข้าร่วมทํานายพระลักษณะของพระมหาบุรุษโดยเชื่อมั่นว่าจะได้ตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้าแน่นอน จึงออกบวชตามด้วยหวังว่า เมื่อพระมหาบุรุษตรัสรู้แล้วจักทรงเทศนา โปรดตนให้รู้ตาม ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">“ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ” เป็นคำอุทานของใคร ? เพราะเหตุใดจึงอุทานอย่างนั้น ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เป็นคำอุทานของยสกุลบุตร ฯ<br/>
เพราะเห็นหมู่ชนบริวารนอนหลับมีอาการพิกลต่าง ๆ ดุจซากศพที่ทิ้งอยู่ในป่าช้าจึงเกิดความสลดใจคิดเบื่อหน่าย ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระปัญจวัคคีย์ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เพราะฟังธรรมเทศนาชื่ออะไร ? พระธรรมเทศนานั้น โดยย่อว่าด้วยเรื่องอะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> พระปัญจวัคคีย์สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เพราะฟังธรรมเทศนา ชื่อ อนัตตลักขณสูตร ฯ<br/>
พระธรรมเทศนาโดยย่อว่าด้วยเรื่อง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">เอหิภิกขุอุปสัมปทาที่ประทานแก่พระอัญญาโกณทัญญะ และพระยสต่างกันอย่างไร ? เพราะเหตุไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ต่างกัน คือ ที่ประทานแก่โกณฑัญญะมีคำว่า เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ ส่วนที่ประทานแก่พระยสไม่มีคำว่า เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ ฯ<br/>
เพราะพระโกณฑัญญะยังไม่ถึงที่สุดทุกข์ ส่วนพระยสได้ถึงที่สุด ทุกข์แล้ว ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระพุทธองค์ทรงแสดงอนุปุพพิกถา แก่ใครเป็นคนแรก ? อนุปุพพิกถานั้น กล่าวถึงเรื่องอะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ทรงแสดงแก่ยสกุลบุตรเป็นคนแรก ฯ<br/>
อนุปุพพิกถา กล่าวพรรณนา ทานคือการให้ แล้วพรรณนาศีลคือ ความรักษา กาย วาจา เรียบร้อย พรรณนาสวรรค์คือกามคุณที่บุคคลใคร่ ซึ่งจะพึงได้พึงถึงด้วยกรรมอันดี คือทานและศีล
พรรณนาโทษแห่งกาม และ พรรณนาอานิสงส์แห่งความออกไปจากกาม ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระสาวกที่พระพุทธองค์ทรงส่งไปประกาศพระศาสนาครั้งแรก มีจำนวนเท่าไร ? ประกอบด้วยใครบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> พระสาวกที่ไปประกาศพระศาสนาคร้ังแรก มีจำนวน ๖๐ องค์ ฯ<br/>
ประกอบด้วย ปัญจวัคคีย์, พระยสะ, พระวิมละ, พระสุพาหุ, พระปุณณชิ, พระควัมปติ, เพื่อนพระยสะอีก ๕๐ องค์ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระพุทธเจ้าทรงยกย่องใครว่าเป็นผู้มีบริวารมาก ? เพราะเหตุไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ทรงยกย่อง พระอุรุเวลกัสสปะ ฯ<br/>
เพราะเหตุที่ท่านเป็นผู้รู้จักเอาใจบริวาร รู้จักสงเคราะห์ด้วยธรรมบ้าง ด้วยอามิสบ้าง ผู้ประกอบด้วยคุณสมบัตินี้ย่อมเป็นผู้สามารถควบคุมบริวารใหญ่ไว้ได้ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ชฎิล ๓ พี่น้อง มีชื่ออะไรบ้าง ? ได้บรรลุพระอรหันต์ เพราะฟังพระธรรมเทศนาชื่ออะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> พระอุรุเวลกัสสปะ พระนทีกัสสปะ และพระคยากัสสปะ ฯ<br/>
ได้บรรลุพระอรหันต์เพราะฟังพระธรรมเทศนาชื่อ อาทิตตปริยายสูตร ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระอัสสชิได้แสดงธรรมแก่อุปติสสปริพาชก มีใจความย่อว่าอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> มีใจความย่อว่า "ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุพระศาสดาทรงแสดงเหตุแห่งธรรมนั้น และความดับแห่งธรรมนั้น พระศาสดาทรงสั่งสอนอย่างนี้"
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระพุทธองค์ทรงยกย่องพระสารีบุตรคู่กับพระโมคคัลลานะ โดยอุปมาไว้อย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> พระพุทธองค์ตรัสอุปมาว่า พระสารีบุตรเปรียบเหมือนมารดาผู้ให้ทารกเกิด พระโมคคลัลานะเปรียบเหมือนนางนมผู้เลี้ยงทารกนั้นที่เกิดแล้ว ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ธรรมเสนาบดี และนวกัมมาธิฏฐายี เป็นนามของพระสาวกองค์ใด ? เพราะเหตุไรจึงมีนามเช่นนั้น ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ธรรมเสนาบดี เป็นนามของพระสารีบุตรเถระเพราะท่านเป็นกำลังสำคัญยิ่งในการประกาศพระพุทธศาสนา ฯ<br/>
นวกัมมาธิฏฐายี เป็นนามของพระโมคคัลลานเถระ เพราะท่านเป็นผู้สามารถกำกับดูแลการก่อสร้าง ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระสาวกรูปใดได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่าเป็นผู้กตัญญูกตเวที ? จงแสดงตัวอย่างมาสัก ๒ เรื่อง</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ทรงยกย่อง พระสารีบุตรเถระ ฯ<br/>
เรื่องที่ ๑ พระสารีบุตรนับถือพระอัสสชิเป็นอาจารย์ เมื่ออาจารย์อยู่ในทิศใด ก่อนจะนอนท่านจะนมัสการ และนอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น<br/>
เรื่องที่ ๒ พระสารีบุตรระลึกถึงอุปการะของราธพราหมณ์ที่เคยถวายภิกษาแก่ ท่านทัพพีหนึ่ง ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระมหากัสสปะโดยปกติถือธุดงค์กี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> พระมหากัสสปะถือธุดงค์ ๓ อย่าง ฯ ได้แก่<br/>
๑) ใช้ผ้าบังสุกุลจีวรเป็นวัตร<br/>
๒) ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร<br/>
๓) ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระมหากัสสปเถระเป็นประธานในการทำสังคายนาครั้งแรกที่ไหน ? ใช้เวลานานเท่าไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา กรุงราชคฤห์ ฯ ใช้เวลา ๗ เดือน ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">สามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนาคือใคร ? ได้บรรลุพระอรหันต์เพราะฟังธรรมจากใคร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> สามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา คือ พระราหุลเถระ ได้บรรลุพระอรหันต์เพราะฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอุปมาด้วยพิณ ๓ สาย แก่ใคร ? ด้วยทรงพระประสงค์ใด ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระโสณโกฬิวิสะ ฯ<br/>
ด้วยทรงพระประสงค์จะให้ท่านทำความเพียรพอประมาณ เพราะท่านทำความเพียรอย่างยิ่ง เดินจงกรมจนเท้าแตก ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">จงระบุชื่อพระสาวกผู้ที่บวชเพราะเหตุต่อไปนี้<br/>
๑. บวชเพราะศรัทธา<br/>
๒. บวชเพราะจำใจ<br/>
๓. บวชเพราะหลงไหลในรูป ฯ</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> บวชเพราะศรัทธา คือ พระรัฐบาล<br/>
บวชเพราะจำใจ คือ พระนันทะ<br/>
บวชเพราะหลงใหลในรูป คือ พระวักกลิ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระสาวกผู้ได้รับการอุปสมบทด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจาเป็นองค์แรกคือใคร ? ท่านได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่าเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> พระราธะ ฯ ได้รับยกย่องว่า เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้มีปฏิภาณ คือญาณแจ่มแจ้งในธรรมเทศนา ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ธรรมุเทศ มีอะไรบ้าง ? ใครแสดงแก่ใคร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ธรรมุเทศ ได้แก่<br/>
๑) โลกคือหมู่สัตว์ อันชรานำเข้าไปใกล้ไม่ยั่งยืน<br/>
๒) โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่จำเพาะตน<br/>
๓) โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีอะไรเป็นของๆ ตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไป<br/>
๔) โลกคือหมู่สัตว์ พร่องอยู่เป็นนิตย์ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา ฯ<br/>
พระรัฐบาลแสดงธรรมนี้ถวายแก่พระเจ้าโกรัพยะ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระโอวาทที่พระศาสดาทรงประทานในการให้อุปสมบทแก่พระมหากัสสปะมีกี่ข้อ ? อะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> มี ๓ ข้อ ฯ คือ<br/>
๑. เราจักเข้าไปตั้งความละอาย และความยำเกรงอย่างแรงกล้าไว้ในภิกษุทั้งที่เป็นเถระปานกลาง และผู้ใหม่<br/>
๒. เราจักเงี่ยหูลงฟังธรรม อันประกอบด้วยกุศล และพิจารณาเนื้อความแห่งธรรมนั้น<br/>
๓. เราจักไม่ละสติที่ไปในกาย ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระสาวกผู้อธิบายภัทเทกรัตตสูตรที่ทรงแสดงโดยย่อให้พิสดารคือใคร ? ท่านได้รับการสรรเสริญจากพระศาสดาว่าอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> คือ พระมหากัจจายนะ ฯ ท่านได้รับสรรเสริญจากพระศาสดาว่า เป็นผู้ฉลาดในการอธิบายคําที่ย่อให้พิสดาร ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ปัญหาว่า "โลกคือหมู่สัตว์อันอะไรปิดบังไว้จึงหลงอยู่ในที่มืด" ดังนี้ ใครเป็นผู้ถาม ? และพระศาสดาทรงพยากรณ์ว่าอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> อชิตมาณพเป็นผู้ถาม ฯ ทรงพยากรณ์ว่า โลกคือหมู่สัตว์ อันอวิชชาคือความไม่รู้แจ้งปิดบังไว้ จึงหลงดุจอยู่ในที่มืด ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระเถระและพระเถรีผู้มีชื่อต่อไปนี้ ได้รับเอตทัคคะในทางไหน ?<br/>
ก. พระมหากัจจายนะ<br/>
ข. พระโมฆราช<br/>
ค. พระราหุล<br/>
ง. ปฏาจาราเถรี<br/>
จ. อุบลวรรณาเถรี</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ก. พระมหากัจจายนะ เป็นเอตทัคคะในทางอธิบายคำย่อให้พิสดาร<br/>
ข. พระโมฆราช เป็นเอตทัคคะในทางทรงจีวรเศร้าหมอง<br/>
ค. พระราหุล เป็นเอตทัคคะในทางผู้ใฝ่ใจศึกษาพระธรรมวินัย<br/>
ง. ปฏาจาราเถรี เป็นเอตทัคคะในทางทรงวินัย<br/>
จ. อุบลวรรณาเถรี เป็นเอตทัคคะในทางมีฤทธิ์ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">การศึกษาให้เข้าใจในศาสนพิธี มีประโยชน์อย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ๑. ทำให้เข้าใจเรื่องของศาสนพิธีได้โดยถูกต้อง<br/>
๒. ทำให้เห็นเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ไร้สาระ<br/>
๓. ทำให้ปฏิบัติได้ถูกต้องไม่ผิดเพี้ยนจากขนบธรรมเนียมประเพณี ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ การเข้าพรรษา การออกพรรษา ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> การเข้าพรรษา หมายถึง การที่ภิกษุผูกใจว่าจะอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ตลอดเวลา ๓ เดือนในฤดูฝน ไม่ไปค้างแรมให้ล่วงราตรีในที่แห่งอื่นระหว่างผูกใจนั้น เว้นแต่ไปด้วยสัตตาหกรณียะ ฯ<br/>
การออกพรรษา หมายถึง กาลที่สิ้นสุดกําหนดอยู่จําพรรษาของภิกษุตามพระวินัยบัญญัติ มีพิธีเป็นสังฆกรรมพิเศษโดยเฉพาะ เรียกโดยภาษาพระวินัยว่า ปวารณากรรม คือการทําปวารณาของสงฆ์ผู้อยู่ร่วมกันตลอดเวลา ๓ เดือน ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ธรรมเนียมของสงฆ์ที่พึ่งปฏิบัติชอบต่อกันเพื่อความ สามัคคี เรียกว่าอะไร ? หมายถึงอะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เรียกว่า สามีจิกรรม ฯ หมายถึง การขอขมาโทษ และการให้อภัยกัน ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">สามีจิกรรม หมายถึงอะไร ? มีกี่แบบ ? อะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> สามีจิกรรม หมายถึง การขอขมาโทษกันให้อภัยกันทุกโอกาส ไม่ว่าจะมีโทษ ขัดข้องหมองใจกันหรือไม่ก็ตาม ถึงโอกาสที่ควรทำสามีจิกรรมกันแล้ว ทุกรูปไม่พึงละโอกาสเสีย ฯ<br/>
มี ๒ แบบ ฯ ได้แก่<br/>
๑) แบบขอขมาโทษ<br/>
๒) แบบถวายสักการะ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เรียกว่าวันอะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เรียกว่า วันเทโวโรหณะ ตรงกับวันมหาปวารณา วันเพ็ญเดือน ๑๑ ฯ
</li>
</ol>
</div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2983053855378828333.post-57715292085194463032023-10-29T05:00:00.000+07:002023-10-30T22:33:54.347+07:00เก็งข้อสอบนักธรรมชั้นโท วิชาวินัยบัญญัติ ปีพ.ศ.๒๕๖๖<img id="myImg1" alt="เก็งข้อสอบวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท พ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1080" data-original-width="1920" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgkUPfcuqHWCI7hrqKJOaPFhVH6tGGWDPGnrlQq512GyXB7-qeA0d-Ep6F4_RD8PY817dWxzh_yFmu_fZ0FQIChAuZuUb3gOpZbMhZDoF_l5KlCU3ZRm1OGYE5n_VQXp-OULesOjPCIeV6fWaglnXz1qKKYoYm_vJ8qiXeT8o3Apj67Ozfa0sPRtL1TwtI/s1600-rw/winai-naktham-tho-2566.webp" title="เก็งข้อสอบวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท พ.ศ.๒๕๖๖"/>
<br/>
<br/>
<iframe allow="accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture" allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/61phA79eOfE?&autoplay=1" title="เก็งข้อสอบวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท ๒๕๖๖" width="560"></iframe>
<br /><span><a name='more'></a></span>
<style>
.list-container ol {
max-width: 100%;
font-family: "Roboto", sans-serif;
margin: 32px auto;
line-height: 1.8;
list-style: none;
counter-reset: list-counter;
}
.list-container img {
width: 100%;
border-radius: 8px;
margin: 20px 0;
}
.list-container li {
margin: 45px 28px;
position: relative;
}
.list-container li::before {
content: counter(list-counter);
counter-increment: list-counter;
position: absolute;
top: 0;
left: -50px;
border: 2px solid #ff9900;
border-radius: 50%;
width: 28px;
height: 28px;
display: flex;
align-items: center;
justify-content: center;
font-weight: bold;
background: #fff;
transition: all 200ms ease;
}
.list-container li:hover::before {
background: #ff9900;
color: #fff;
}
.list-container li::after {
content: "";
position: absolute;
left: -34px;
top: 42px;
height: calc(100% - 30px);
width: 1px;
background: #000;
}
.list-container li:last-child::after {
height: calc(100% - 50px);
}
.post-body ol>li:before {
content: counters(ify, '.') '.';
margin: 0 5px 0 0;
font-size: 12px;
}
#myImg1 {
border-radius: 12px;
}
</style>
<div class="list-container">
<ol>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
พระวินัยแบ่งออกเป็นกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> พระวินัยแบ่งเป็น ๒ ประการ ได้แก่<br/>
๑) อาทิพรหมจริยกาสิกขา<br/>
๒) อภิสมาจาริกาสิกขา ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
อภิสมาจารคืออะไร ? ภิกษุผู้ไม่เอื้อเฟื้อในอภิสมาจารมีโทษอย่างไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> อภิสมาจาร คือขนบธรรมเนียมอันดีงามของภิกษุ ฯ<br/>
มีโทษปรับอาบัติถุลลัจจัยเป็นอย่างสูง แต่มีน้อย ส่วนมากปรับอาบัติทุกกฏเป็นพื้น ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
ภิกษุผู้ปฏิบัติพระวินัยส่วนอภิสมาจารให้ดีงาม จะต้องปฏิบัติอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ต้องปฏิบัติโดยสายกลาง คือไม่ถือเคร่งครัดอย่างงมงาย จนเป็นเหตุทำตนให้ลำบาก เพราะเหตุธรรมเนียมเล็กๆ น้อยๆ อันขัดต่อกาลเทศะ และไม่สะเพร่ามักง่ายละเลยต่อธรรมเนียมของภิกษุ
จนถึงทำตนให้เป็นคนเลวทราม ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
ในกายบริหาร มีข้อปฏิบัติเกี่ยวกับหนวดและคิ้วไว้อย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เกี่ยวกับหนวด มีข้อปฏิบัติไว้ว่า อย่าพึงไว้หนวดไว้เครา คือ ต้องโกนเสมอ ห้ามไม่ให้แต่งหนวดและห้ามไม่ให้ตัดหนวดด้วยกรรไกร เกี่ยวกับคิ้ว ไม่ได้วางหลักปฏิบัติไว้ แต่พระสงฆ์ไทยนิยมโกนพร้อมกับผม ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
เปลือยกายอย่างไรต้องอาบัติถุลลัจจัย ? อย่างไรต้องอาบัติทุกกฎ ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เปลือยกายเป็นวัตรเอาอย่างเดียรถีย์ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯ<br/>
เปลือยกายทำกิจแก่กัน เช่น ไหว้ รับไหว้ ทำบริกรรม ให้ของ รับของ และเปลือยกายในเวลาฉัน ในเวลาดื่ม ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
การผัดหน้า ไล้หน้า ทาหน้า ทรงห้ามและทรงอนุญาตไว้ในกรณีใด ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> การผัดหน้า ไล้หน้า ทาหน้า ทรงห้ามเฉพาะเพื่อทำให้สวย ทรงอนุญาตในกรณีอาพาธ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
ผ้าสำหรับทำจีวรนุ่งห่มนั้น ทรงอนุญาตไว้กี่ชนิด ? อะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ผ้าสำหรับทำจีวรมี ๖ ชนิด ฯ คือ<br/>
๑) โขมะ ผ้าทำด้วยเปลือกไม้<br/>
๒) กัปปาสิกะ ผ้าทำด้วยฝ้าย<br/>
๓) โกเสยยะ ผ้าทำด้วยใยไหม<br/>
๔) กัมพละ ผ้าทำด้วยขนสัตว์ ยกเว้นผม และขนมนุษย์<br/>
๕) สาณะ ผ้าทำด้วยเปลือกป่าน<br/>
๖) ภังคะ ผ้าทำด้วยของ ๕ อย่างนั้นแต่อย่างใดอย่างหนึ่งปนกัน ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
ภิกษุเช่นไร ชื่อว่า นวกะ มัชฌิมะ เถระ ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> นวกะ คือ ภิกษุมีพรรษาไม่ถึง ๕<br/>
มัชฌิมะ คือ ภิกษุมีพรรษาตั้งแต่ ๕ ขึ้นไป แต่ยังไม่ถึง ๑๐ ต้องประกอบด้วย คุณธรรมตามพระวินัย<br/>
เถระ คือ ภิกษุมีพรรษาตั้งแต่ ๑๐ ขึ้นไป ต้องประกอบด้วยคุณธรรมตามพระธรรมวินัย ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
นิสัยระงับ กับ นิสัยมุตตกะ มีอธิบายอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> นิสัยระงับ หมายถึง การที่ภิกษุผู้ถือนิสัยขาดจากปกครอง<br/>
นิสัยมุตตกะ หมายถึง ภิกษุผู้ได้พรรษา ๕ แล้ว และมีคุณสมบัติพอรักษาตนผู้อยู่ตามลำพังได้ ทรงพระอนุญาตให้พ้นจากนิสัย ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
ภิกษุเช่นไรควรได้ นิสัยมุตตกะ ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ภิกษุผู้ควรได้นิสัยมุตตกะ คือ<br/>
๑. เป็นผู้มีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ สติ<br/>
๒. เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล อาจาระ ความเห็นชอบ เคยได้ยินได้ฟังมามาก มีปัญญา<br/>
๓. รู้จักอาบัติมิใช่อาบัติ อาบัติเบาอาบัติหนัก จำพระปาฏิโมกข์ได้แม่นยำ ทั้งมีพรรษาพ้น ๕ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
ภิกษุผู้ได้ชื่อว่า วตฺตสมฺปนฺโน ผู้ถึงพร้อมด้วยวัตร วัตรคืออะไร ? มีอะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> วัตร คือแบบอย่างอันภิกษุควรประพฤติในกาลนั้น ๆ ในที่นั้น ๆ ในกิจนั้น ๆ แก่บุคคลนั้น ๆ ฯ<br/>
มี ๓ ประการ คือ<br/>
๑) กิจวัตร ว่าด้วยกิจอันควรทำ<br/>
๒) จริยาวัตร ว่าด้วยมารยาทอันควรประพฤติ<br/>
๓) วิธีวัตร ว่าด้วยแบบอย่าง ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
ภิกษุผู้อาพาธควรปฏิบัติตนอย่างไร จึงไม่เป็นภาระแก่ผู้พยาบาล ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ควรปฏิบัติตนให้เป็นผู้พยาบาลง่าย คือ ทำความสบายให้แก่ตน (ไม่ฉันของแสลง) รู้จักประมาณในการบริโภค ฉันยาง่าย บอกอาการไข้ตามเป็นจริงแก่ผู้พยาบาล เป็นผู้อดทนต่อทุกขเวทนา ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
วัตถุอนามาส คืออะไร ? ภิกษุจับต้องวัตถุอนามาสนั้น ต้องอาบัติอะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> วัตถุอนามาส คือ สิ่งที่ภิกษุไม่ควรจับต้อง ฯ<br/>
ภิกษุจับต้องมาตุคาม เป็นอาบัติสังฆาทิเสส ถุลลัจจัย และทุกกฏ ตามประโยค<br/>
จับต้องบัณเฑาะก์ ด้วยความกําหนัด เป็นอาบัติถุลลัจจัย<br/>
นอกนั้น เป็นวัตถุแห่งอาบัติทุกกฏทั้งหมด ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
การลุกยืนขึ้นรับ เป็นกิจที่ผู้น้อยพึงทำแก่ผู้ใหญ่ จะปฏิบัติอย่างไรจึงไม่ขัดต่อพระวินัย ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> การปฏิบัติที่ไม่ขัดต่อพระวินัย ได้แก่นั่งอยู่ในสำนักผู้ใหญ่ ไม่ลุกรับผู้น้อยกว่าท่าน นั่งเข้าแถวในบ้าน เข้าประชุมสงฆ์ในอาราม ไม่ลุกรับท่านผู้ใดผู้หนึ่ง ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
ภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะ ไปสู่อาวาสอื่น พึงประพฤติอย่างไรจึงจะถูกธรรมเนียมตามพระวินัย ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> พึงประพฤติดังนี้<br/>
๑. ทำความเคารพในท่าน<br/>
๒. แสดงความเกรงใจเจ้าของถิ่น<br/>
๓. แสดงอาการสุภาพ<br/>
๔. แสดงอาการสนิทสนมกับเจ้าของถิ่น<br/>
๕. ถ้าจะอยู่ที่นั่น ควรประพฤติให้ถูกธรรมเนียมของเจ้าของถิ่น<br/>
๖. ถือเสนาสนะแล้วอย่าดูดาย เอาใจใส่ชำระปัดกวาดให้หมดจด จัดตั้งเครื่องเสนาสนะให้เป็นระเบียบ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
ดิถีที่กำหนดให้เข้าจำพรรษาในบาลีกล่าวไว้เท่าไร ? อะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> กล่าวไว้ ๒ ฯ คือ<br/>
๑. ปุริมิกาวัสสูปนายิกา วันเข้าพรรษาต้น คือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘<br/>
๒. ปัจฉิมิกาวัสสูปนายิกา วันเข้าพรรษาหลัง คือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๙ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
ในวัดหนึ่งมีภิกษุอยู่กัน ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป ๑ รูป เมื่อถึงวันอุโบสถพึงปฏิบัติอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> มีภิกษุ ๔ รูป พึงประชุมกันในอุโบสถ สวดปาติโมกข์<br/>
มีภิกษุ ๓ รูป พึงประชุมกันทำปาริสุทธิอุโบสถ รูปหนึ่งสวดประกาศญัตติจบแล้ว แต่ละรูปพึงบอกความบริสุทธิ์ของตน<br/>
มีภิกษุ ๒ รูป ไม่ต้องตั้งญัติติพึงบอกความบริสุทธิ์แก่กันและกัน<br/>
มีภิกษุ ๑ รูป พึงอธิษฐาน หรือ มีภิกษุต่ำกว่า ๔ รูป จะไปทำสังฆอุโบสถกับสงฆ์ในอาวาสอื่นก็ควร ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
สงฆ์สวดปาฏิโมกข์อยู่ ภิกษุอื่นมาถึง หรือมาถึงเมื่อสวดจบแล้ว พึงปฏิบัติอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> พึงปฏิบัติอย่างนี้ คือ<br/>
๑. ถ้าภิกษุมาใหม่มากกว่า ภิกษุที่ประชุมกันอยู่ต้องสวดตั้งต้นใหม่<br/>
๒. ถ้าเท่ากันหรือน้อยกว่า ส่วนที่สวดไปแล้วก็แล้วไป ให้ภิกษุที่มาใหม่ฟังส่วนที่ยังเหลืออยู่<br/>
๓. ถ้าสวดจบแล้ว จะมามากกว่าหรือน้อยกว่าก็ไม่ต้องสวดซ้ำอีก ให้ภิกษุที่มาใหม่ บอกปาริสุทธิในสำนักภิกษุผู้ฟังปาฏิโมกข์แล้ว ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
ปวารณา คืออะไร ? มีพระพุทธานุญาตให้ทำในวันไหน ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ปวารณา คือการบอกให้โอกาสแก่ภิกษุทั้งหลายเพื่อปรารถนาตักเตือนว่ากล่าวตนได้ ฯ<br/>
มีพระพุทธานุญาตให้ทำ ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ซึ่งเป็นวันเต็ม ๓ เดือนแต่วันจำพรรษา ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
อุปปถกิริยา คืออะไร ? มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> อุปปถกิริยา คือการทำนอกรีตนอกรอยของสมณะ ฯ<br/>
มี ๓ อย่าง ฯ ได้แก่<br/>
๑) อนาจาร ได้แก่ความประพฤติไม่ดีไม่งาม<br/>
๒) ปาปสมาจาร ได้แก่ความประพฤติเลวทราม<br/>
๓) อเนสนา ได้แก่ความหาเลี้ยงชีพไม่สมควร ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
ภิกษุได้ชื่อว่า “กุลทูสโก ผู้ประทุษร้ายสกุล” เพราะประพฤติอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ภิกษุได้ชื่อว่า “กุลทูสโก ผู้ประทุษร้ายสกุล” เพราะประพฤติให้เขาเสียศรัทธาเลื่อมใส คือ เป็นผู้ประจบเขาด้วยกิริยาทำตนอย่างคฤหัสถ์ ยอมตนให้เขาใช้สอย หรือด้วยอาการเอาเปรียบ
โดยเชิงให้สิ่งของเล็กน้อย ด้วยหวังได้มาก ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
อเนสนา ได้แก่อะไร ? มีอะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b>อเนสนา ได้แก่ กิริยาแสวงหาเลี้ยงชีพในทางไม่สมควร ฯ<br/>
มี ๒ อย่าง คือ<br/>
๑. การแสวงหาเป็นโลกวัชชะ มีโทษทางโลก<br/>
๒. การแสวงหาเป็นปัณณัตติวัชชะ มีโทษทางพระบัญญัติ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
ยาวกาลิก กับ ยาวชีวิก ต่างกันอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ต่างกันอย่างนี้ คือ<br/>
ยาวกาลิก คือของที่ใช้บริโภคเป็นอาหาร บริโภคได้ชั่วคราวคือ ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงวัน ได้แก่ โภชนะ ๕ มี นมสด นมส้ม ของขบเคี้ยว เป็นต้น ฯ<br/>
ยาวชีวิก เป็นของที่ให้ประกอบเป็นยา บริโภคได้เสมอไปไม่มีจำกัดเวลา แต่เมื่อมีเหตุจึงบริโภคได้ได้แก่ รากไม้ น้ำฝาดใบไม้ ผลไม้ ยางไม้ เกลือ เป็นต้น ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
คำว่า อันโตวุฏฐะ อันโตปักกะ สามปักกะ หมายถึงอะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> อันโตวุฏฐะ หมายถึง ยาวกาลิกที่ภิกษุเก็บไว้ในที่อยู่ของตน ฯ<br/>
อันโตปักกะ หมายถึง ยาวกาลิกที่ภิกษุหุงต้มภายใน (ที่อยู่ของตน) ฯ<br/>
สามปักกะ หมายถึง ยาวกาลิกที่ภิกษุทำให้สุกเอง ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
ภัณฑะของภิกษุผู้มรณภาพ จะตกเป็นของใคร ? ภิกษุผู้อุปัฏฐากจะถือเอาด้วยวิสาสะได้หรือไม่ ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ภัณฑะของภิกษุผู้มรณภาพแล้วตกเป็นของสงฆ์ ฯ<br/>
ภิกษุผู้อุปัฏฐากจะถือเอาด้วยวิสาสะไม่ได้ เพราะการจะถือเอาด้วยวิสาสะ ต้องถือเอาในเวลาที่เจ้าของภัณฑะยังมีชีวิตอยู่ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
สภาคาบัติ คืออาบัติเช่นไร ? ภิกษุต้องสภาคาบัติ จะพึงปฏิบัติอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> สภาคาบัติ คืออาบัติที่ภิกษุต้องวัตถุเดียวกัน เพราะล่วงละเมิดสิกขาบทเดียวกัน<br/>
ภิกษุต้องสภาคาบัติแล้ว ห้ามไม่ให้แสดงอาบัตินั้นต่อกัน ห้ามไม่ให้รับอาบัติของกัน ให้แสดงในสำนักภิกษุอื่น<br/>
ถ้าสงฆ์ต้องสภาคาบัติทั้งหมด ต้องส่งภิกษุรูปหนึ่งไปแสดงในที่อื่น ภิกษุที่เหลือ จึงแสดงในสำนักของภิกษุนั้น ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
จีวรที่วิกัปไว้ เมื่อจะนำมาใช้ต้องทำอย่างไร ? ถ้าไม่ทำเช่นนั้นต้องอาบัติอะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> จีวรที่วิกัปไว้ เมื่อจะนำมาใช้ต้องขอให้ผู้รับถอนก่อน ฯ<br/>
ถ้าไม่ทำเช่นนั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
บุพพกรณ์และบุพพกิจ ในการทำอุโบสถสวดปาติโมกข์ ต่างกันอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ต่างกันอย่างนี้<br/>
บุพพกรณ์ เป็นกิจที่ภิกษุพึงทำก่อนแต่ประชุมสงฆ์ มีกวาดบริเวณที่ประชุมเป็นต้น<br/>
ส่วนบุพพกิจ เป็นกิจที่ภิกษุพึงทำก่อนแต่สวดปาติโมกข์ มีนำปาริสุทธิของภิกษุผู้อาพาธมาเป็นต้น ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
ดิรัจฉานวิชาไม่ดีอย่างไร พระศาสดาจึงตรัสห้ามไว้ ไม่ให้บอกไม่ให้เรียน ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เป็นความรู้ที่เขาสงสัยว่าลวงหรือหลง ไม่ใช่ความรู้จริงจัง ผู้บอกเป็นผู้ลวง ผู้เรียนก็เป็นผู้หัดเพื่อจะลวงหรือเป็นผู้หลงงมงาย ฉะนั้น พระศาสดาจึงตรัสห้ามไว้ไม่ให้บอก ไม่ให้เรียน ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">
ภิกษุผู้ได้ชื่อว่า ประดับพระศาสนาให้รุ่งเรือง เพราะประพฤติปฏิบัติเช่นไร ? จงชี้แจง</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ภิกษุผู้ได้ชื่อว่าประดับพระศาสนาให้รุ่งเรือง เพราะมีความประพฤติปฏิบัติ สุภาพเรียบร้อย สมบูรณ์ด้วยอภิสมาจาริกวัตร เว้นจากบุคคล และสถานที่ไม่ควร ไป คืออโคจร เป็นผู้ได้ชื่อว่า
อาจารโคจรสัมปันโน ผู้ถึงพร้อมด้วยมรรยาท และโคจรอันเป็นคู่กับคุณบทว่า สีลสัมปันโน ผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ฯ
</li>
</ol>
</div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2983053855378828333.post-10968048630791394852023-10-26T21:35:00.001+07:002023-10-26T22:23:53.778+07:00เฉลยข้อสอบวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นตรี พ.ศ.๒๕๖๖<img alt="เฉลยข้อสอบวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นตรี พ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1080" data-original-width="1920" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhuoJnBNuETJ5SGCp8uMf4EUPaIsTzojHv7ZHc_abYSwGQsLybpP-i80OOpKqSEhWPbUJ0ujf4Ib9yxScFC6Sq30LdZ-pLOEMDaNx5qbGgjgTVIkX-HolIzubgkkcOn64m6WN-bkQ2xXfY-iZ5XFGAVyvYGtiQdGxzndKCiXhVBMyL6Sa37b3IcvJv8qzc/s1600-rw/exam-winai-dtree-2566.webp" title="ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นตรี ปีพ.ศ.๒๕๖๖"/>
<br />
<br />
<iframe allow="accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture" allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/3jNDDugRy90?&autoplay=1" title="เฉลยข้อสอบวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นตรี พ.ศ.๒๕๖๖" width="560"></iframe>
<br />
<br /><span><a name='more'></a></span>
<img alt="เฉลยข้อสอบวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นตรี พ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1890" data-original-width="1337" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgQGjqBg16A2uXv0jEimV7UlMk4zrGfREroG9lWpGw_PViSjNK9ocszhBb1-9CM0f2k3isLknBcaFm03EVhfWxu2Q-LjXImdj7EpWYvZb8GaghPrpqz6S54E2s95Lk953IWau2oR0xLQDm2jDAUmllRr-HEqmzOlpSK9lCNC3-gvPPMSaPLcUmSHxm3Yx4/s1600-rw/9.png"/>
<br />
<br />
<style>
.list-container ol {
max-width: 100%;
font-family: "Roboto", sans-serif;
margin: 32px auto;
line-height: 1.8;
list-style: none;
counter-reset: list-counter;
}
.list-container img {
width: 100%;
border-radius: 8px;
margin: 20px 0;
}
.list-container li {
margin: 45px 28px;
position: relative;
}
.list-container li::before {
content: counter(list-counter);
counter-increment: list-counter;
position: absolute;
top: 0;
left: -50px;
border: 2px solid #cc0000;
border-radius: 50%;
width: 25px;
height: 25px;
display: flex;
align-items: center;
justify-content: center;
font-weight: bold;
background: #fff;
transition: all 200ms ease;
}
.list-container li:hover::before {
background: #ff9900;
color: #fff;
}
.list-container li::after {
content: "";
position: absolute;
left: -34px;
top: 42px;
height: calc(100% - 30px);
width: 1px;
background: #000;
}
.list-container li:last-child::after {
height: calc(100% - 50px);
}
.post-body ol>li:before {
content: counters(ify, '.') '.';
margin: 0 5px 0 0;
font-size: 12px;
}
#myImg1 {
border-radius: 12px;
}
</style>
<center><h2>เฉลยปัญหาข้อสอบวิชาวินัยบัญญัติ</h2></center>
<center><iframe height="600" src="https://drive.google.com/file/d/1JJuZ5IuWSpX0oQR4f6-PgC7rWR5d_QNr/preview" width="900"></iframe></center>
<br/>
<div class="list-container">
<ol>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
พระวินัย คืออะไร ? ภิกษุรักษาพระวินัยดีแล้ว ย่อมได้อานิสงส์อะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b>
พระวินัย คือ พระพุทธบัญญัติและอภิสมาจาร ฯ<br/>
ย่อมได้อานิสงส์ คือไม่ต้องเดือดร้อนใจ ได้รับความแช่มชื่นว่า ได้ประพฤติดีงาม จะเข้าหมู่ภิกษุ ผู้มีศีลก็องอาจไม่สะทกสะท้าน ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
อาบัติคืออะไร ? อาการที่ภิกษุต้องอาบัติ ๖ อย่างนั้น อย่างไหนเสียหายมากที่สุด ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b>
อาบัติ คือ โทษที่เกิดเพราะความละเมิดในข้อที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม<br/>
อาการที่ภิกษุต้องอาบัติ ๖ อย่างนั้น ต้องด้วยไม่ละอาย จัดว่าเสียหายมากที่สุด ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
สิกขา และ สิกขาบท ได้แก่อะไร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b>
สิกขา คือ ข้อที่ภิกษุต้องศึกษา มี ๓ คือ สีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา ฯ<br/>
สิกขาบท คือ พระบัญญัติมาตราหนึ่ง ๆ ทรงตั้งขึ้นไว้สำหรับปรับโทษแก่ภิกษุหนักบ้าง เบาบ้าง ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
ภิกษุทำคนอื่นให้ถึงแก่ความตาย ต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b>
ถ้าไม่จงใจ ไม่เป็นอาบัติ<br/>
ถ้าจงใจประสงค์จะให้เขาตาย เป็นอาบัติปาราชิก ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
ไตรจีวร มีอะไรบ้าง ? ภิกษุอยู่ปราศจากแม้คืนหนึ่ง ต้องอาบัติอะไร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b>
ไตรจีวร มี สังฆาฏิ คือผ้าคลุม อุตตราสงค์ คือผ้าห่ม อันตรวาสก คือผ้านุ่ง ฯ<br/>
ภิกษุอยู่ปราศจากแม้คืนหนึ่ง ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
ภิกษุนอนในที่มุงที่บังเดียวกันกับสามเณร จะเป็นอาบัติอะไรหรือไม่ ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b>
นอนได้ ๓ คืน ไม่เป็นอาบัติ เกินกว่านั้นต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
พูดอย่างไร ชื่อว่าส่อเสียดภิกษุ ? ภิกษุพูดอย่างนั้นต้องอาบัติอะไร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b>
พูดส่อเสียดภิกษุ หมายถึง เก็บความข้างนี้ไปบอกข้างโน้น เก็บความข้างโน้น
มาบอกข้างนี้ ด้วยประสงค์จะให้เขารักตน หรือให้เขาแตกกัน ฯ<br/>
ภิกษุพูดต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
ภิกษุบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่นแก่อนุปสัมบัน เป็นอาบัติอะไรหรือไม่ ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b>
ถ้าได้รับสมมติไว้ ไม่เป็นอาบัติ<br/>
แต่ถ้าไม่ได้รับสมมติ เป็นอาบัติปาจิตตีย์ ตามสิกขาบทที่ ๙ แห่งมุสาวาทวรรค ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
เสขิยวัตร คืออะไร ? ภิกษุละเมิดต้องอาบัติอะไร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b>
เสขิยวัตร คือ ธรรมเนียมที่ภิกษุต้องศึกษา ฯ<br/>
ภิกษุไม่ปฏิบัติตาม ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
การนุ่งเป็นปริมณฑล คือการนุ่งอย่างไร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b>
การนุ่งเป็นปริมณฑล คือ การนุ่งเบื้องบนปิดสะดือ แต่ไม่ถึงกระโจมอก เบื้องล่างปิดหัวเข่าทั้ง ๒ ลงมาเพียงครึ่งแข้ง ไม่คลุมข้อเท้า
</li>
</ol>
</div>
<br/>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2983053855378828333.post-48629193979740887462023-10-26T04:00:00.000+07:002023-10-26T05:46:05.319+07:00เฉลยข้อสอบวิชาพุทธประวัติ นักธรรมชั้นตรี พ.ศ.๒๕๖๖<img alt="เฉลยข้อสอบวิชาพุทธประวัติ นักธรรมชั้นตรี พ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1080" data-original-width="1920" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEioNohF2L_h3vRM_JkB4ov6JI2T9rwY-5-0FA5IZzDNPgnktWTFgvqP24FPMsGj6B0EBNI7ykM6Gw26f1uOXQfFVOTcqXpv5psmLvl6tfe3sLhMtZs9SxCHth3_TxIWioSwTjiDDiDVUsFoL-Omqm-kca2T_E99Qbm6ysCPeeUjnxjDaq71yLD2fB4NUm0/s1600-rw/exam-phutta-naktham-dtree-2566.webp" title="ปัญหาและเฉลยวิชาพุทธประวัติ นักธรรมชั้นตรี ปีพ.ศ.๒๕๖๖"/>
<br />
<br />
<iframe allow="accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture" allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/CuuSnB8mkso?&autoplay=1" title="เฉลยข้อสอบวิชาพุทธประวัติ นักธรรมชั้นตรี พ.ศ.๒๕๖๖" width="560"></iframe>
<br />
<br /><span><a name='more'></a></span>
<img alt="เฉลยข้อสอบวิชาพุทธประวัติ นักธรรมชั้นตรี พ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1890" data-original-width="1337" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiEMBW5Y5Um_lJND_VDW2ckqlD0vWppUABLq4W3ADRfTeGRzrx-spZx0-Fl_yqnYr8KD9g1pWeFRVduNCRHIldeS_vHx5l7-xdVTL2WsymZzlBL1oVo4GCobsr8VlAZ7Qut9IWRSrMgkZ2vPcXHbD5l7DcGJrnHCGh4t6U7nEF8FQFeA3C4mRx2Nisyg1Q/s1600-rw/phutta1.webp"/>
<br />
<br />
<style>
.list-container ol {
max-width: 100%;
font-family: "Roboto", sans-serif;
margin: 32px auto;
line-height: 1.8;
list-style: none;
counter-reset: list-counter;
}
.list-container img {
width: 100%;
border-radius: 8px;
margin: 20px 0;
}
.list-container li {
margin: 45px 28px;
position: relative;
}
.list-container li::before {
content: counter(list-counter);
counter-increment: list-counter;
position: absolute;
top: 0;
left: -50px;
border: 2px solid #cc0000;
border-radius: 50%;
width: 25px;
height: 25px;
display: flex;
align-items: center;
justify-content: center;
font-weight: bold;
background: #fff;
transition: all 200ms ease;
}
.list-container li:hover::before {
background: #ff9900;
color: #fff;
}
.list-container li::after {
content: "";
position: absolute;
left: -34px;
top: 42px;
height: calc(100% - 30px);
width: 1px;
background: #000;
}
.list-container li:last-child::after {
height: calc(100% - 50px);
}
.post-body ol>li:before {
content: counters(ify, '.') '.';
margin: 0 5px 0 0;
font-size: 12px;
}
#myImg1 {
border-radius: 12px;
}
</style>
<center><h2>เฉลยปัญหาข้อสอบวิชาพุทธประวัติ</h2></center>
<center><iframe height="600" src="https://drive.google.com/file/d/1Ndgph8HowM5yUj9ii7Ws_yo06Ykf2j1L/preview" width="900"></iframe></center>
<br/>
<div class="list-container">
<ol>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
คนในชมพูทวีปแบ่งออกเป็น ๔ วรรณะ คืออะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b>
คนในชมพูทวีปแบ่งเป็น ๔ วรรณะ ฯ ได้แก่<br/>
๑) วรรณะกษัตริย์<br/>
๒) วรรณะพราหมณ์<br/>
๓) วรรณะแพศย์<br/>
๔) วรรณะศูทร ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
อสิตดาบสกล่าวทำนายพระมหาบุรุษว่าอย่างไร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b>
อสิตดาบส กล่าวทำนายพระมหาบุรุษไว้ว่า มีคติเป็น ๒ คือ<br/>
๑. ถ้าอยู่ครองฆราวาส จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ<br/>
๒. ถ้าออกบวช จักได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
เจ้าชายสิทธัตถะทรงปรารภอะไรจึงเสด็จออกบรรพชา ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b>
ทรงปรารภถึงเทวทูตทั้ง ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และ สมณะ<br/>
ทรงสังเวชสลดใจ เพราะได้ทอดพระเนตรเห็นเทวทูต ๓ ข้างต้น
ได้ทอดพระเนตรเห็นสมณะ ยังความพอพระหฤทัยในการออกผนวชให้เกิดขึ้น ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
“ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง” เป็นคำพูดของใคร ? พูดกับใคร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b>
เป็นคำพูดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฯ<br/>
พูดกับยสกุลบุตร ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาแก่ใคร และเกิดผลอย่างไร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b>
ทรงแสดงแก่พระปัญจวัคคีย์ ฯ<br/>
บังเกิดผล คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้ดวงตาเห็นธรรมแล้วทูลขอบรรพชา ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะสำเร็จเป็นพระโสดาบัน เพราะฟังธรรมจากใคร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b>
พระสารีบุตร ฟังธรรมจากพระอัสสชิเถระ<br/>
พระโมคคัลลานะ ฟังธรรมจากพระสารีบุตร ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
สถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ชื่อว่าอะไร ? ตั้งอยู่ในเมืองไหน ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b>
ชื่อว่า มกุฏพันธนเจดีย์ ฯ<br/>
ตั้งอยู่ที่ เมืองกุสินารา ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
ใครถวายบิณฑบาตแด่พระพุทธองค์ก่อนตรัสรู้ และก่อนปรินิพพาน ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b>
ก่อนตรัสรู้ คือ นางสุชาดา<br/>
ก่อนปรินิพพาน คือ นายจุนทะ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
ศาสนพิธี คืออะไร ? ผู้ที่ได้เรียนรู้แล้วได้รับประโยชน์อย่างไรบ้าง ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b>
คือ แบบอย่าง หรือแบบแผนต่าง ๆ ที่พึงปฏิบัติในทางพระศาสนา ฯ <br/>
ย่อมได้รับประโยชน์ คือ เป็นผู้ฉลาดในพิธีกรรมที่เกี่ยวด้วยการบำเพ็ญกุศล เช่น การทำบุญ และการถวายทาน สามารถในการจัดพิธีต่างๆ ได้ถูกต้องตามระเบียบแบบแผน ชื่อว่าเป็นผู้รักษาขนบประเพณีอันงดงามของพระพุทธศาสนาไว้ได้ด้วย ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
การแสดงตนเป็นพุทธมามกะ คืออะไร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b>
คือ การประกาศตนว่าเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา ฯ
</li>
</ol>
</div>
<br/>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2983053855378828333.post-50499653122733350672023-10-26T02:00:00.000+07:002023-10-26T05:19:09.333+07:00เฉลยข้อสอบวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี พ.ศ. ๒๕๖๖<img alt="เฉลยข้อสอบวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี ๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1080" data-original-width="1920" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgTfJ1fWxVI4fUVPLMRrVHVnh34pbGf5Fkf2jv4QH1cgti_9W9BjeVUBwy8vlx8RKvoe_MUr8Lod__0lDjIWmDToL73Zxa24sWkHtgCicW1aQfck4AVZjxSwJLj9Bp_VWBIh_kR1QF5YBY-uI_Geg_wWSgWisvKykjjIYpdUmXzENkpyx2cOJj82UfebFc/s1600-rw/exam-thamma-2566.webp" title="ปัญหาและเฉลยวิชาธรรมวิภาค นักธรรมชั้นตรี ปีพ.ศ.๒๕๖๖"/>
<br />
<br />
<iframe allow="accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture" allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/Hwc78-JDgSs?&autoplay=1" title="เฉลยข้อสอบวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี ๒๕๖๖" width="560"></iframe>
<br />
<br /><span><a name='more'></a></span>
<img alt="ปัญหาวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี ๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1890" data-original-width="1337" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgwf4YhaZKG0dQ_FnwIsMpf9hAdvens0NRa2xAAoLm1kcal3DEHJbm12ttpZ7x9o8EoMsAqsSmY_DiMmYpvkboKtVT86WR6_rFVRi8mNw-hx5AOMlHSYHSM4cLSTgdWFtvffOU9SXZSKNkbdoHrEallacESFQsKkR3P2FFUdsE5Nk-9Q8F4lS_TQX0sXDc/s1600-rw/dhamma1.webp"/>
<br />
<br />
<style>
.list-container ol {
max-width: 100%;
font-family: "Roboto", sans-serif;
margin: 32px auto;
line-height: 1.8;
list-style: none;
counter-reset: list-counter;
}
.list-container img {
width: 100%;
border-radius: 8px;
margin: 20px 0;
}
.list-container li {
margin: 45px 28px;
position: relative;
}
.list-container li::before {
content: counter(list-counter);
counter-increment: list-counter;
position: absolute;
top: 0;
left: -50px;
border: 2px solid #cc0000;
border-radius: 50%;
width: 25px;
height: 25px;
display: flex;
align-items: center;
justify-content: center;
font-weight: bold;
background: #fff;
transition: all 200ms ease;
}
.list-container li:hover::before {
background: #ff9900;
color: #fff;
}
.list-container li::after {
content: "";
position: absolute;
left: -34px;
top: 42px;
height: calc(100% - 30px);
width: 1px;
background: #000;
}
.list-container li:last-child::after {
height: calc(100% - 50px);
}
.post-body ol>li:before {
content: counters(ify, '.') '.';
margin: 0 5px 0 0;
font-size: 12px;
}
#myImg1 {
border-radius: 12px;
}
</style>
<center><h2>เฉลยปัญหาข้อสอบวิชาธรรม</h2></center>
<center><iframe height="600" src="https://drive.google.com/file/d/1xPjPhyB9N-9M1Yp3iEhKdkYYl0ajr-7c/preview" width="900"></iframe></center>
<br/>
<div class="list-container">
<ol>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
ธรรมอะไร สามารถคุ้มครองโลกให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุขได้ ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> ธรรมคุ้มครองโลก ๒ อย่าง คือ<br />
๑. หิริ ความละอายต่อบาป<br />
๒. โอตตัปปะ ความกลัวต่อผลของบาป
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
บุพพการีและกตัญญูกตเวทีได้แก่บุคคลเช่นไร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> บุพพการี ได้แก่ บุคคลผู้ทำอุปการะก่อน<br />
กตัญญูกตเวที ได้แก่ บุคคลผู้รู้อุปการะที่ผู้อื่นทำแก่ตนแล้วทำตอบแทน ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
รัตนะ ๓ มีอะไรบ้าง ? มีคุณอย่างไร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> มี พระพุทธ ๑ พระธรรม ๑ พระสงฆ์ ๑ ฯ<br />
มีคุณอย่างนี้ คือ<br />
๑. พระพุทธเจ้ารู้ดีรู้ชอบด้วยพระองค์เองก่อนแล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตาม<br />
๒. พระธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว<br />
๓. พระสงฆ์ปฏิบัติชอบตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วสอนผู้อื่นให้กระทำตาม ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
มูลเหตุที่ทำให้คนทำความชั่ว มีอะไรบ้าง ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> มี ๑. โลภะ อยากได้ <br />
๒. โทสะ คิดประทุษร้ายเขา<br />
๓. โมหะ หลงไม่รู้จริง ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
ธาตุ ๔ มีอะไรบ้าง ? ความร้อน จัดเป็นธาตุอะไร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> ธาตุ ๔ มี <br />
๑) ธาตุดิน<br />
๒) ธาตุน้ำ<br />
๓) ธาตุไฟ<br />
๔) ธาตุลม ฯ<br />
ความร้อน จัดเป็น ธาตุไฟ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
อริยสัจ ๔ มีอะไรบ้าง ? ความไม่สบายกายไม่สบายใจ จัดเป็นอริยสัจข้อไหน ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> อริยสัจ ๔ มี<br />
๑) ทุกข์ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ<br />
๒) สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์<br />
๓) นิโรธ ความดับทุกข์<br />
๔) มรรค ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ฯ<br />
จัดเป็นข้อ ๑ คือ ทุกข์ ฯ<br />
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
โลกธรรม ธรรมที่ครอบงำสัตวโลก ๘ อย่างนั้นมีอะไรบ้าง ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> โลกธรรม ๘ มี<br />
๑. มีลาภ ๒. ไม่มีลาภ<br />
๓. มียศ ๔. ไม่มียศ<br />
๕. สรรเสริญ ๖. นินทา<br />
๗. สุข ๘. ทุกข์ ฯ<br />
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
มิตรแท้ที่ควรคบ ๔ ประเภท มีอะไรบ้าง ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> มิตรแท้ที่ควรคบ มี<br />
๑) มิตรมีอุปการะ<br />
๒) มิตรร่วมทุกข์ร่วมสุข<br />
๓) มิตรแนะประโยชน์<br />
๔) มิตรมีความรักใคร่ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
อบายมุข ๔ มีอะไรบ้าง ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> อบายมุข ๔ มี<br />
๑. ความเป็นนักเลงหญิง<br />
๒. ความเป็นนักเลงสุรา<br />
๓. ความเป็นนักเลงเล่นการพนัน<br />
๔. ความคบคนชั่วเป็นมิตร ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #000000;">
สังคหวัตถุ ๔ มีอะไรบ้าง ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> สังคหวัตถุ ๔ มี<br />
๑. ทาน ให้ปันสิ่งของของตนแก่ผู้อื่นที่ควรให้ปัน<br />
๒. ปิยวาจา เจรจาวาจาที่อ่อนหวาน<br />
๓. อัตถจริยา ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น<br />
๔. สมานัตตตา ความเป็นคนมีตนเสมอไม่ถือตัว ฯ
</li>
</ol>
</div>
<br/>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2983053855378828333.post-5275903113518294582023-10-26T01:01:00.000+07:002023-10-26T05:10:28.328+07:00เก็งข้อสอบนักธรรมชั้นตรี วิชาวินัยบัญญัติ ปีพ.ศ.๒๕๖๖<img id="myImg1" alt="เก็งข้อสอบวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นตรี พ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1080" data-original-width="1920" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj09giTjg1-EI8uJy1QoPVBS8NjsasEepe6DlsKLOy6qXMxoYhsSUJH9c36jUgQfjeWpEo1p8NtXeBLqt9cHqLIr2gzmTZv12-0Oksq9XrT2tnnIMMW7qvbt3lB-sqdxk_cl0xaEc80axcSH6VLX241yXo-xSI8xX58bpCiGYgWmHsCY6thVu4sbiU05oI/s1600-rw/winai-exam-naktam-dtree-2566.webp" title="เก็งข้อสอบวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นตรี พ.ศ.๒๕๖๖" />
<br />
<br/>
<iframe allow="accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture" allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/o3PekUazuC4?&autoplay=1" title="เก็งข้อสอบวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นตรี ๒๕๖๖" width="560"></iframe>
<br />
<br /><span><a name='more'></a></span>
<style>
.list-container ol {
max-width: 100%;
font-family: "Roboto", sans-serif;
margin: 32px auto;
line-height: 1.8;
list-style: none;
counter-reset: list-counter;
}
.list-container img {
width: 100%;
border-radius: 8px;
margin: 20px 0;
}
.list-container li {
margin: 45px 28px;
position: relative;
}
.list-container li::before {
content: counter(list-counter);
counter-increment: list-counter;
position: absolute;
top: 0;
left: -50px;
border: 2px solid #ff9900;
border-radius: 50%;
width: 28px;
height: 28px;
display: flex;
align-items: center;
justify-content: center;
font-weight: bold;
background: #fff;
transition: all 200ms ease;
}
.list-container li:hover::before {
background: #ff9900;
color: #fff;
}
.list-container li::after {
content: "";
position: absolute;
left: -34px;
top: 42px;
height: calc(100% - 30px);
width: 1px;
background: #000;
}
.list-container li:last-child::after {
height: calc(100% - 50px);
}
.post-body ol>li:before {
content: counters(ify, '.') '.';
margin: 0 5px 0 0;
font-size: 12px;
}
#myImg1 {
border-radius: 12px;
}
</style>
<div class="list-container">
<ol>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระวินัย คืออะไร ? ภิกษุรักษาพระวินัยดีแล้วย่อมได้ อานิสงส์อย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> พระวินัย คือ พระพุทธบัญญัติและอภิสมาจาร ฯ<br/>
ย่อมได้อานิสงส์ คือไม่ต้องเดือดร้อนใจ ได้รับความแช่มชื่นว่าได้ประพฤติดีงาม จะเข้าหมู่ภิกษุผู้มีศีลก็องอาจไม่สะทกสะท้าน ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">นิสสัย และ อกรณียกิจ คืออะไร ? ทั้ง ๒ อย่างรวมเรียกว่าอะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> นิสสัย คือปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิต อกรณียกิจ คือกิจที่บรรพชิตไม่ควรทำ ฯ <br/>
ทั้ง ๒ อย่าง รวมเรียกว่า อนุศาสน์ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">สิกขา กับ สิกขาบท ต่างกันอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ต่างกันอย่างนี้<br/>
สิกขา ได้แก่ข้อที่ควรศึกษา คือศีล สมาธิ และปัญญา<br/>
สิกขาบท ได้แก่พระบัญญัติมาตราหนึ่ง ๆ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ภิกษุผู้ปฏิบัติอย่างไร จึงชื่อว่ามีศีล ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ภิกษุสำรวมกายวาจาให้เรียบร้อย เว้นข้อที่ทรงห้าม ทำตามข้อที่ทรงอนุญาต จึงชื่อว่ามีศีล ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">อาการที่ภิกษุจะต้องอาบัติมีอะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> มี ต้องด้วยไม่ละอาย ๑ <br/>
ต้องด้วยไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะเป็นอาบัติ ๑<br/>
ต้องด้วยสงสัยแล้วขืนทำ ๑<br/>
ต้องด้วยสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร ๑<br/>
ต้องด้วยสำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร ๑<br/>
ต้องด้วยลืมสติ ๑
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิต เรียกว่าอะไร ? มีอะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เรียกว่า นิสสัย ฯ มี ๔ คือ<br/>
๑) เที่ยวบิณฑบาต<br/>
๒) นุ่งห่มผ้าบังสุกุล<br/>
๓) อยู่โคนต้นไม้<br/>
๔) ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ผู้ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญาดีแล้ว จะได้รับประโยชน์อย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ย่อมได้รับประโยชน์ คือ<br/>
ปฏิบัติศีล ทำให้เป็นผู้มีกาย วาจา เรียบร้อย<br/>
ปฏิบัติสมาธิ ทำให้ใจสงบมั่นคง ไม่ฟุ้งซ่าน<br/>
ปฏิบัติปัญญา ทำให้รอบรู้ในกองสังขาร ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พูดอย่างไรเรียกว่า อวดอุตตริมนุสสธรรม ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> พูดอวดคุณพิเศษอันยิ่งของมนุษย์ เช่น ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ มรรค ผล นิพพาน เรียกว่า อวดอุตตริ มนุสสธรรม ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ภิกษุทำคนอื่นให้ถึงแก่ความตาย ต้องอาบัติอะไร หรือไม่ ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ถ้าไม่จงใจ ไม่ต้องอาบัติ แต่ถ้าจงใจประสงค์จะให้เขาตาย ต้องอาบัติปาราชิก ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ภิกษุมีความกำหนัดจับต้องอนุปสัมบัน ต้องอาบัติอะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> จับต้องอนุปสัมบันที่เป็นหญิง ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
จับต้องอนุปสัมบันที่เป็นบัณเฑาะก์ ต้องอาบัติถุลลัจจัย
จับต้องอนุปสัมบันที่เป็นชาย ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">เภสัช ๕ ได้แก่อะไรบ้าง ? น้ำตาลทรายจัดอยู่ในข้อใด ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เภสัช ๕ ได้แก่ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ฯ
น้ำตาลทราย จัดเข้าในน้ำอ้อย ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ผ้าไตรจีวร ที่ทรงอนุญาตให้ภิกษุอธิษฐานไว้ใช้มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ที่ทรงอนุญาตมี ๓ อย่าง ฯ คือ<br/>
๑. สังฆาฏิ (ผ้าคลุม)<br/>
๒. อุตตราสงค์ (ผ้าห่ม)<br/>
๓. อันตรวาสก (ผ้านุ่ง) ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ภิกษุนำเก้าอี้ของสงฆ์ไปใช้ในที่แจ้ง เมื่อหลีกไปจากที่นั้นพึงปฏิบัติอย่างไร ? ถ้าไม่ปฏิบัติอย่างนั้น ต้องอาบัติอะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> พึงเก็บเอง หรือใช้ให้ผู้อื่นเก็บ หรือมอบหมายแก่ผู้อื่น ฯ <br/>
ถ้าไม่ปฏิบัติอย่างนั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พูดอย่างไร ชื่อว่าส่อเสียดภิกษุ ? ภิกษุพูดอย่างนั้นต้องอาบัติอะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เก็บความข้างนี้ไปบอกข้างโน้น เก็บความข้างโน้นมาบอกข้างนี้ ด้วยประสงค์จะให้เขารักตน หรือให้เขาแตกกัน ชื่อว่าส่อเสียดภิกษุ ฯ <br/>
ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ภิกษุบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่นแก่อนุปสัมบันเป็นอาบัติอะไรหรือไม่ ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ถ้าได้รับสมมติไว้ ไม่เป็นอาบัติ แต่ถ้าไม่ได้รับสมมติเป็นอาบัติปาจิตตีย์ตามสิกขาบทที่ ๙ แห่งมุสาทวรรค ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">คำว่า “ภิกษุประทุษร้ายตระกูล” ในสิกขาบทที่ ๑๓ แห่งสังฆาทิเสส หมายถึงการทำอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> หมายถึง การที่ภิกษุประจบคฤหัสถ์ ยอมตนให้เขาใช้สอย เช่น เดินส่งข่าวให้เขาเป็นต้น หรือโดยให้สิ่งของเล็กน้อยด้วยหวังได้มาก ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">จีวร ผ้านิสีทนะ อังสะ ผ้าเช็ดหน้า ย่ามผ้า เมื่อจะใช้สอย อย่างไหนควรพินทุอย่างไหนไม่ควร ? เพราะเหตุใด ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> จีวรและอังสะ ควรพินทุ เพราะใช้ห่ม ผ้านิสีทนะ ผ้าเช็ดหน้า และย่ามผ้า ไม่ต้องพินทุ เพราะไม่ได้ใช้นุ่งห่ม ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ไตรจีวร มีอะไรบ้าง ? ภิกษุอยู่ปราศจากไตรจีวรแม้คืนหนึ่ง ต้องอาบัติอะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> มี ๓ อย่าง คือ สังฆาฏิ คือผ้าคลุม อุตตราสงค์ คือผ้าห่ม และ อันตรวาสก คือผ้านุ่ง ฯ<br/>
ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ภิกษุเข้าบ้านในเวลาวิกาล โดยไม่บอกลาภิกษุอื่นที่มีอยู่ในวัด ต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่มีกิจรีบด่วน ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ภิกษุซ่อนบาตร จีวร ร่ม และรองเท้าของเพื่อนภิกษุเพื่อล้อเล่นต้องอาบัติอะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ซ่อนบาตร จีวร ต้องอาบัติปาจิตตีย์<br/>
ซ่อนร่ม รองเท้า ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ภิกษุฉันพลางพูดพลาง จะต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> พูดทั้งที่ยังมีอาหารอยู่ในปาก ต้องอาบัติทุกกฏ
พูดไม่มีอาหารอยู่ในปาก ไม่ต้องอาบัติ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">การนุ่งเป็นปริมณฑล คือการนุ่งอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> การนุ่งเป็นปริมณฑล คือ นุ่งเบื้องบนปิดสะดือแต่ไม่ถึงกระโจมอก เบื้องล่างปิดหัวเข่าทั้ง ๒ ลงมาเพียงครึ่งแข้ง ไม่คลุมข้อเท้า ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">เสขิยวัตร คืออะไร ? ภิกษุไม่ปฏิบัติตามต้องอาบัติอะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เสขิยวัตร คือ ธรรมเนียมที่ภิกษุต้องศึกษา ฯ ต้องอาบัติทุกกฎ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ภิกษุเถียงกันด้วยเรื่องอะไร จึงเรียกว่า วิวาทาธิกรณ์ ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ภิกษุเถียงกันด้วยเรื่อง สิ่งนั้นเป็นธรรมเป็นวินัย สิ่งนี้ไม่ใช่ธรรมไม่ใช่วินัย เป็นต้น ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">อธิกรณ์ อธิกรณสมณะ คืออะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> อธิกรณ์ คือ เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วจะต้องจัดต้องทำ ฯ<br/>
อธิกรณสมถะ คือ ธรรมเครื่องระงับอธิกรณ์ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">อธิกรณ์ คืออะไร ? เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องทำอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> อธิกรณ์ คือ เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วจะต้องจัดต้องทำ ฯ <br/>
เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องระงับด้วยอธิกรณสมถะอย่างใดอย่างหนึ่ตามสมควรแก่อธิกรณ์นั้น ๆ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">วิวาทาธิกรณ์ กับ อนุวาทาธิกรณ์ ต่างกันอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> วิวาทาธิกรณ์ คือ การเถียงว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมเป็นวินัยสิ่งนี้ไม่ใช่ธรรมไม่ใช่วินัย<br/>
ส่วนอนุวาทาธิกรณ์ คือการโจทกันด้วยอาบัติ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ข้อว่า เราจักบิณฑบาตโดยเคารพ นั้นมีธิบายอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> มีอธิบายว่า รับโดยแสดงความเอื้อเฟื้อในบุคคลผู้ให้ ไม่ดูหมิ่น และให้แสดงความเอื้อเฟื้อในของที่เขาให้ ไม่ทำดังรับเอามาเล่นหรือเอามาทิ้งเสีย ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">การตัดสินอธิกรณ์ตามเสียงข้างมากเรียกว่าอะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> การตัดสินด้วยเสียงข้างมาก เรียกว่า เยภุยยสิกา ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระศาสดาทรงบัญญัติพระวินัยไว้เพื่ออะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เพื่อป้องกันความประพฤติเสียหายของภิกษุสงฆ์ และเพื่อชักนำความประพฤติของภิกษุสงฆ์ให้ดีงาม ฯ
</li>
</ol>
</div>
<br/>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2983053855378828333.post-7359616437426520252023-10-23T05:00:00.000+07:002023-10-25T00:36:27.879+07:00เก็งข้อสอบนักธรรมชั้นตรี วิชาธรรมวิภาค ปีพ.ศ.๒๕๖๖<img alt="เก็งข้อสอบวิชาธรรมวิภาค นักธรรมชั้นตรี พ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1080" data-original-width="1920" id="myImg1" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgZHGNt_r4YQiWq_cA9r0gRkyyQtgXlx-_Gs7SmoFK4wiE4dVAEW5g431wmniKA4R76rNttq75iWLZXdhWLwREUZiBkISIdoglKweK4qgJynjf26Rm-qm3l7KLhMJkXIGhRqNLyrY_EzOLDX7-kTtnGvyt-JFOa9DFBIKPxUgFRItprlsxjEQWQ7h7EvFk/s1600-rw/dharma-exam-naktam-dtree-2566.webp" title="เก็งข้อสอบวิชาธรรมวิภาค นักธรรมชั้นตรี พ.ศ.๒๕๖๖" />
<br />
<br />
<iframe allow="accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture" allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/cxZUDhkhd-M?&autoplay=1" title="เก็งข้อสอบวิชาธรรมวิภาค นักธรรมชั้นตรี ๒๕๖๖" width="560"></iframe>
<br />
<br /><span><a name='more'></a></span>
<style>
.list-container ol {
max-width: 100%;
font-family: "Roboto", sans-serif;
margin: 32px auto;
line-height: 1.8;
list-style: none;
counter-reset: list-counter;
}
.list-container img {
width: 100%;
border-radius: 8px;
margin: 20px 0;
}
.list-container li {
margin: 45px 28px;
position: relative;
}
.list-container li::before {
content: counter(list-counter);
counter-increment: list-counter;
position: absolute;
top: 0;
left: -50px;
border: 2px solid #ff9900;
border-radius: 50%;
width: 28px;
height: 28px;
display: flex;
align-items: center;
justify-content: center;
font-weight: bold;
background: #fff;
transition: all 200ms ease;
}
.list-container li:hover::before {
background: #ff9900;
color: #fff;
}
.list-container li::after {
content: "";
position: absolute;
left: -34px;
top: 42px;
height: calc(100% - 30px);
width: 1px;
background: #000;
}
.list-container li:last-child::after {
height: calc(100% - 50px);
}
.post-body ol>li:before {
content: counters(ify, '.') '.';
margin: 0 5px 0 0;
font-size: 12px;
}
#myImg1 {
border-radius: 12px;
}
</style>
<div class="list-container">
<ol>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ธรรมมีอุปการะมากมีอะไรบ้าง ? ที่ว่ามีอุปการะมาก นั้นเพราะเหตุไร ?</span></b><br />
<b>ตอบ </b> มี ๑. สติ ความระลึกได้ และ ๒. สัมปชัญญะ ความรู้ตัว ฯ<br />
เพราะว่าทำให้เป็นผู้ไม่ประมาทในการทำกิจการงานใดๆ และเป็นอุปการะให้ธรรมเหล่าอื่นเกิดขึ้น.
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">คนที่ทำอะไรมักพลั้งพลาด เพราะขาดธรรมอะไร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> เพราะขาดสติ ความระลึกได้ก่อนแต่จะทำและขาดสัมปชัญญะ ความรู้ตัวในขณะทำ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">โลกเดือดร้อนวุ่นวายในปัจจุบันนี้ เพราะขาดธรรมอะไร ?</span></b><br />
<b> ตอบ</b> เพราะขาดธรรมคุ้มครองโลก ๒ อย่าง คือ<br />
๑. หิริ ความละอายบาป<br />
๒. โอตตัปปะ ความกลัวบาป ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">หิริและโอตตัปปะ ได้ชื่อว่าธรรมเป็นโลกบาลเพราะเหตุไร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> เพราะเป็นคุณธรรมทำบุคคลให้รังเกียจ และเกรงกลัวต่อบาปทุจริต ไม่กล้าทำความชั่วทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พบงูพิษแล้วสดุ้งกลัวว่าจะถูกกัด จัดเป็นโอตตัปปะได้หรือไม่ ? เพราะเหตุใด ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> ไม่ได้ ฯ เพราะโอตตัปปะ หมายความว่าความเกรงกลัวต่อบาป ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ในโลกนี้มีบุคคลประเภทใดบ้างที่พระพุทธศาสนาสอนว่าหาได้ยาก ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> มี ๒ ประเภท คือ<br />
๑) บุพพการี บุคคลผู้ทำอุปการะก่อน<br />
๒) กตัญญูกตเวที บุคคลผู้รู้อุปการะที่ท่านทำแล้วและทำตอบแทนท่าน ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระพุทธเจ้าทรงเป็นบุพพการีของพุทธบริษัอย่างไร ?</span></b><br />
<b>ตอบ </b> พระพุทธเจ้าทรงกระทำอุปการะแก่พุทธบริษัทก่อน ด้วยการทรงแนะนำสั่งสอน ให้รู้ดีรู้ชอบตามพระองค์ เพื่อให้ได้บรรลุประโยชน์ ทั้ง ๓ คือ ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ ในโลกหน้า
และประโยชน์อย่างยิ่งคือพระนิพพาน จึงชื่อว่าเป็นบุพพการี ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ได้ชื่อว่า รัตนะ เพราะเหตุไร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> เพราะเป็นของมีคุณค่าและหาได้ยาก เหมือนเพชรนิลจินดามีค่ามาก นำประโยชน์ และความสุขมาให้แก่ผู้เป็นเจ้าของ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">รัตนะ ๓ อย่าง คืออะไรบ้าง ? รัตนะที่ ๒ มีคุณอย่างไร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> คือ พระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ฯ <br />
ย่อมรักษาผู้ปฏิบัติธรรมไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระพุทธเจ้า คือใคร ? ทรงสั่งสอนเป็นอัศจรรย์อย่างไร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> คือท่านผู้สอนให้ประชุมชนประพฤติชอบด้วยกายวาจาใจตามพระธรรมวินัย ฯ <br />
ทรงสั่งสอนเป็นอศัจรรย์ คือผู้ปฏิบัติตามย่อมได้ประโยชน์โดยสมควรแก่ความปฏิบัติ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ทุจริต คืออะไร ? พูดใส่ร้ายผู้อื่น จัดเข้าในทุจริตข้อไหน ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> ทุจริต คือ ประพฤติชั่ว ประพฤติเสียหาย ฯ จัดเข้าในวจีทุจริต ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">เห็นผิดจากคลองธรรม คือเห็นอย่างไร ? จัดเข้าในทุจริตข้อไหน ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> คือเห็นผิดจากความเป็นจริง เช่น เห็นว่าบุญบาปไม่มีบิดามารดาไม่มีพระคุณ เป็นต้น ฯ <br />
จัดเข้าในมโนทุจริต ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">มูลเหตุที่ทำให้บุคคลทำความชั่ว เรียกว่าอะไร ? มีอะไรบ้าง ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> เรียกว่า อกุศลมูล หมายถึงรากเหง้าของอกุศล ฯ มี<br />
๑. โลภะ อยากได้<br />
๒. โทสะ คิดประทุษร้ายเขา<br />
๓. โมหะ หลงไม่รู้จริง ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">อกุศลมูล เมื่อเกิดขึ้นแล้วเราควรปฏิบัติอย่างไร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> เมื่อเกิดขึ้นแล้วควรละเสีย ด้วยทาน ศีล ภาวนา ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">บุญกิริยาวัตถุ คืออะไร ? โดยย่อมีเท่าไร ? อะไรบ้าง ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> คือสิ่งเป็นที่ตั้งแห่งการบำเพ็ญบุญ ฯ มี ๓ ฯ คือ<br />
๑. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน<br />
๒. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล<br />
๓. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ผู้ที่ทำงานไม่สำเร็จผลตามที่มุ่งหมายเพราะขาดคุณธรรมอะไรบ้าง ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> เพราะขาดอิทธิบาท คือ คุณเครื่องให้สำเร็จความประสงค์ ๔ อย่าง คือ<br />
๑. ฉันทะ พอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น<br />
๒. วิริยะ เพียรประกอบสิ่งนั้น<br />
๓. จิตตะ เอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้นไม่วางธุระ<br />
๔. วิมังสา หมั่นตริตรองพิจารณาเหตุผลในสิ่งนั้น ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">อริยสัจ ๔ มีอะไรบ้าง ? ความไม่สบายกายไม่สบายใจ จัดเป็นอริยสัจข้อไหน ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> มี ๑) ทุกข์ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ<br />
๒) สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์<br />
๓) นิโรธ ความดับทุกข์<br />
๔) มรรค ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ฯ<br />
ความไม่สบายกายไม่สบายใจจัดเป็นอริยสัจข้อ ๑ คือ ทุกข์ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ทุกข์ในอริยสัจ ๔ คืออะไร ? เหตุให้เกิดทุกข์ คืออะไร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> ทุกข์ในอริยสัจ ๔ คือ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ ฯ<br />
เหตุให้เกิดทุกข์ คือ ตัณหาความทะยานอยาก ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">บุคคลผู้รักษาความยุติธรรมไว้ได้ ควรเว้นจากธรรมอะไร ? ธรรมนั้นมีอะไรบ้าง ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> ควรเว้นจากอคติ ๔ ฯ มี<br />
๑. ความลำเอียงเพราะรักใคร่กัน เรียกว่า ฉันทาคติ<br />
๒. ความลำเอียงเพราะไม่ชอบกัน เรียกว่า โทสาคติ<br />
๓. ความลำเอียงเพราะเขลา เรียกว่า โมหาคติ<br />
๔. ความลำเอียงเพราะกลัว เรียกว่า ภยาคติ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ธรรมอันเป็นเครื่องกั้นจิตไม่ให้บรรลุความดีคืออะไร ? มีอะไรบ้าง ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> คือ นิวรณ์ ๕ ฯ มี<br />
๑. กามฉันท์ พอใจรักใคร่ในอารมณ์ที่ชอบใจมีรูปเป็นต้น<br />
๒. พยาบาท ปองร้ายผู้อื่น<br />
๓. ถีนมิทธะ ความที่จิตหดหู่และเคลิบเคลิ้ม<br />
๔. อุทธัจจกุกกุจจะ ฟุ้งซ่านและรำคาญ<br />
๕. วิจิกิจฉา ลังเลไม่ตกลงได้ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ขันธ์ ๕ ได้แก่อะไรบ้าง ? สังขารขันธ์จัดเป็นรูปหรือนาม ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> ได้แก่ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และ วิญญาณขันธ์ ฯ<br />
สังขารขันธ์ จัดเป็นนาม ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">อานิสงส์แห่งการฟังธรรม มีอะไรบ้าง ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> มี ๕ อย่าง คือ<br />
๑. ผู้ฟังธรรมย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง<br />
๒. สิ่งใดได้เคยฟังแล้ว แต่ไม่เข้าใจชัด ย่อมเข้าใจสิ่งนั้นชัด<br />
๓. บรรเทาความสงสัยเสียได้<br />
๔. ทำความเห็นให้ถูกต้องได้<br />
๕. จิตของผู้ฟังย่อมผ่องใส ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">โลกธรรม ๘ คืออะไรบ้าง ? เมื่อเกิดขึ้นแล้วควรพิจารณาอย่างไร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> คือ มีลาภ ๑ ไม่มีลาภ ๑ มียศ ๑ ไม่มียศ ๑ นินทา ๑ สรรเสริญ ๑ สุข ๑ ทุกข์ ๑ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือเจรจาอย่างไร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> คือ เว้นจากพูดเท็จ เว้นจากพูดส่อเสียด เว้นจากพูดคำหยาบ เว้นจากพูดเพ้อเจ้อ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">มรรคมีองค์แปดจัดเข้าในสิกขา ๓ ได้หรือไม่ ? ถ้าได้จงจัดมาดู</span></b><br />
<b>ตอบ </b> ได้ ฯ ดังนี้<br />
สัมมาทิฏฐิ และ สัมมาสังกัปปะ จัดเข้าในปัญญาสิกขา<br />
สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ จัดเข้าในสีลสิกขา<br />
สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ จัดเข้าในจิตตสิกขา ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">การคบคนชั่วเป็นมิตร เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างไร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างนี้ คือ มักจะถูกคนชั่วชักจูง ไปในทางชั่ว เช่น คนไม่เคยเป็นนักเลงหญิง ไม่ติดสุรา ไม่เล่นการพนัน ไม่เป็นอันธพาล ก็ย่อมถูกชักจูงไปจนกลายเป็นนักเลงหญิงได้ เป็นต้น ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">บุตรธิดาพึงปฏิบัติต่อมารดาบิดาอย่างไร ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> พึงปฏิบัติอย่างนี้<br />
๑. ท่านได้เลี้ยงมาแล้ว เลี้ยงท่านตอบ<br />
๒. ทำกิจของท่าน<br />
๓. ดำรงวงศ์สกุล<br />
๔. ประพฤติตนให้เป็นคนควรรับทรัพย์มรดก<br />
๕. เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ทำบุญอุทิศให้ท่าน ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">อบายมุข คืออะไร ? ดื่มน้ำเมามีโทษอย่างไรบ้าง ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> อบายมุข คือ เหตุแห่งเครื่องฉิบหาย ฯ<br />
ดื่มน้ำเมามีโทษ ๖ อย่างนี้ คือ<br />
๑) เสียทรัพย์<br />
๒) ก่อการทะเลาะวิวาท<br />
๓) เกิดโรค<br />
๔) ถูกติเตียน<br />
๕) ไม่รู้จักอาย<br />
๖) ทอนกำลังปัญญา ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ศีลที่คฤหัสถ์ควรรักษาเป็นนิตย์ คือศีลอะไร ? ได้แก่อะไรบ้าง ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> คือ ศีล ๕ ฯ ได้แก่<br />
๑. เว้นจากทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป<br />
๒. เว้นจากถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ด้วยอาการแห่งขโมย<br />
๓. เว้นจากประพฤติผิดในกาม<br />
๔. เว้นจากพูดเท็จ<br />
๕. เว้นจากดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">มิตรแท้ที่ควรคบ มีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ?</span></b><br />
<b>ตอบ</b> มิตรแท้ที่ควรคบ มี ๔ ประเภท ฯ คือ<br />
๑. มิตรมีอุปการะ<br />
๒. มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์<br />
๓. มิตรแนะประโยชน์<br />
๔. มิตรมีความรักใคร่ ฯ
</li>
</ol>
</div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2983053855378828333.post-27880977005243052582023-10-23T00:15:00.000+07:002023-10-25T00:36:40.062+07:00เก็งข้อสอบนักธรรมชั้นตรี วิชาพุทธประวัติ ปีพ.ศ.๒๕๖๖<img id="myImg1" alt="เก็งข้อสอบวิชาพุทธประวัติ นักธรรมชั้นตรี พ.ศ.๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1080" data-original-width="1920" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgLjZ1oWFc0cBcb5Oj6Tpo6M7iQhLp5Bu3GAansRWLtlD81XxT8ZBCPh3sjoKAlDhqcB8qMDkzXernl7iFXCUMb7qB7Zw_Zduup0_4FpG5JODGVcTzyR0WGGlqJxIp-cnEV1H4ZWAUiqMwxXO1AdNkbD4w9LwF-sjMo4sxO1YMlT1xixezsuvrbkRUFohA/s1600-rw/puttha-exam-naktam-dtree-2566.webp" title="เก็งข้อสอบวิชาพุทธประวัติ นักธรรมชั้นตรี พ.ศ.๒๕๖๖" />
<br/>
<br/>
<iframe allow="accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture" allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/0_TYz53g8as?&autoplay=1" title="เก็งข้อสอบวิชาพุทธประวัติ นักธรรมชั้นตรี ๒๕๖๖" width="560"></iframe>
<br />
<br /><span><a name='more'></a></span>
<style>
.list-container ol {
max-width: 100%;
font-family: "Roboto", sans-serif;
margin: 32px auto;
line-height: 1.8;
list-style: none;
counter-reset: list-counter;
}
.list-container img {
width: 100%;
border-radius: 8px;
margin: 20px 0;
}
.list-container li {
margin: 45px 28px;
position: relative;
}
.list-container li::before {
content: counter(list-counter);
counter-increment: list-counter;
position: absolute;
top: 0;
left: -50px;
border: 2px solid #ff9900;
border-radius: 50%;
width: 28px;
height: 28px;
display: flex;
align-items: center;
justify-content: center;
font-weight: bold;
background: #fff;
transition: all 200ms ease;
}
.list-container li:hover::before {
background: #ff9900;
color: #fff;
}
.list-container li::after {
content: "";
position: absolute;
left: -34px;
top: 42px;
height: calc(100% - 30px);
width: 1px;
background: #000;
}
.list-container li:last-child::after {
height: calc(100% - 50px);
}
.post-body ol>li:before {
content: counters(ify, '.') '.';
margin: 0 5px 0 0;
font-size: 12px;
}
#myImg1 {
border-radius: 12px;
}
</style>
<div class="list-container">
<ol>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พุทธประวัติ คืออะไร ? การเรียนรู้พุทธประวัตินั้นได้ประโยชน์อย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> พุทธประวัติ คือ เรื่องที่พรรณนาความเป็นไปของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฯ<br/>
ได้ประโยชน์ คือทำให้ทราบความเป็นมาของพระพุทธเจ้า และแนวทางในการดำเนินชีวิตตามพระพุทธจริยา ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พุทธประวัติ มีความสำคัญอย่างไรจึงต้องเรียนรู้ ?</span></b><br/>
<b>ตอบ </b> มีความสำคัญ ในการศึกษาและปฏิบัติพระพุทธศาสนา เพราะแสดงพระพุทธจริยาให้ปรากฏ เช่นเดียวกับตำนานย่อมมีความสำคัญต่อชาติของตน ที่ให้รู้ได้ว่าชาติได้ เป็นมาแล้วอย่างไร ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">คนในชมพูทวีปแบ่งออกเป็นกี่วรรณะ ? อะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> แบ่งเป็น ๔ วรรณะ ฯ คือ<br/>
วรรณะกษัตริย์ <br/>
วรรณะพราหมณ์<br/>
วรรณะแพศย์<br/>
วรรณะศูทร ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระพุทธเจ้าประสูติที่ไหน ? เมื่อไหร่ ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ที่ลุมพินีวัน ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับกรุงเทวทหะ ฯ<br/>
เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศก ๘๐ ปี ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">อะไรเป็นมูลเหตุให้เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวช ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> พระอรรถกถาจารย์ แสดงตามนัยมหาปทานสูตรว่า ได้ทอดพระเนตรเห็น เทวทูตทั้ง ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คน
ตาย และสมณะ ทรงสังเวชเพราะได้ทอดพระเนตรเห็นเทวทูต ๓ ข้างต้น ยังความพอพระหฤทัยในการออกผนวชให้เกิดขึ้น เพราะได้ทอดพระเนตรเห็นสมณะ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">เจ้าชายสิทธัตถะทรงปรารภอะไรจึงเสด็จออกบวช ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ทรงปรารภความแก่ ความเจ็บ ความตาย และสมณะ (เทวทูต ๔) ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">อสิตดาบสได้ทำนายสิทธัตถกุมารว่าอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> อสิตดาบสทำนายว่า ถ้าอยู่ครองสมบัติ จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ถ้าออกบวช จักได้เป็นพระศาสดาเอกในโลก ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา ปรินิพพานและถวายพระเพลิง ในวันใด ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ประสูติ ในวันเพ็ญเดือน ๖<br/>
ตรัสรู้ ในวันเพ็ญเดือน ๖<br/>
แสดงปฐมเทศนา ในวันเพ็ญเดือน ๘<br/>
ปรินิพพาน ในวันเพ็ญเดือน ๖<br/>
ถวายพระเพลิง ในวันอัฏฐมีแรม ๘ ค่ำเดือน ๖ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระพุทธเจ้าตรัสรู้และปรินิพพาน เมื่อมีพระชนมายุเท่าไหร่ ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ตรัสรู้ เมื่อมีพระชนมายุ ๓๕ ปี
ปรินิพพาน เมื่อมีพระชนมายุ ๘๐ ปี ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาแก่ใคร และเกิดผลอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> แก่พระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ฯ
เกิดผล คือพระอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม
แล้วทูลขอบรรพชา ทำให้เกิดสังฆรัตนะ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ทศนากัณฑ์แรก ชื่ออะไร ? พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ใคร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เทศนากัณฑ์แรกชื่อ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ฯ ทรงแสดงแก่พระปัญจวัคคีย์ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระพุทธเจ้าทรงตัดสินพระทัยว่าจะแสดงธรรมแก่ปัญจวัคคีย์ก่อน เพราะเหตุไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เพราะทรงระลึกถึงอุปการคุณของปัญจวัคคีย์ ว่าได้เป็นผู้อุปัฏฐากพระองค์ เมื่อครั้งทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระอัญญาโกณฑัญญะได้ชื่อว่าเป็นปฐมสาวกเพราะเหตุไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เพราะได้ฟังธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ได้ดวงตาเห็นธรรม
แล้วอุปสมบท ในพระพุทธศาสนาเป็นองค์แรก ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">คำว่า “ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ” เป็นคำอุทานของใคร ? เพราะเหตุใดจึงอุทานเช่นนั้น ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เป็นคำอุทานของยสกุลบุตร ฯ<br/>
เพราะเห็นอาการพิกลต่าง ๆ ของหมู่ชนบริวารที่นอนหลับ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความยินดีเหมือนเมื่อก่อน หมู่ชนบริวารเหล่านั้น ปรากฏแก่ยสกุลบุตร ดุจซากศพที่ทิ้งอยู่ในป่าช้า ครั้นเห็นแล้ว
เกิดความสังเวชสลดใจ คิดเบื่อหน่าย จึงได้ออกอุทานเช่นนั้น ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ฆราวาสที่บรรลุพระอรหัตผลคนแรกคือใคร ? เพราะฟังธรรมอะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ฆราวาสที่บรรลุพระอรหันต์ผลคนแรกคือ ยสกุลบุตร ฯ เพราะฟังอนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระสารีบุตรสำเร็จเป็นพระโสดาบัน เพราะได้ฟังธรรมจากใคร ? ธรรมนั้นมีใจความว่าอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เพราะได้ฟังธรรมจากพระอัสสชิเถระ ฯ<br/>
มีใจความว่า “ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุแห่งธรรมนั้น และความดับแห่งธรรมนั้น” ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระอัครสาวกทั้ง ๒ องค์สำเร็จเป็นพระโสดาบันเพราะฟังธรรมจากใร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> พระสารีบุตร ฟังธรรมจากพระอัสสชิเถระ ฯ, พระโมคคัลลานะ ฟังธรรมจากพระสารีบุตร ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญปฏิบัติบูชายิ่งกว่าอามิสบูชา เพราะเหตุไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เพราะการปฏิบัติบูชานี้ ทำให้พระพุทธศาสนาตั้งมั่น อยู่ได้ยาวนาน ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">สังเวชนียสถาน ๔ ตำบล เป็นสถานทีให้ระลึกถึง เหตุการณ์อะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> เป็นสถานที่ให้ระลึกถึงเหตุการณ์ที่พระพุทธองค์<br/>
๑. ประสูติ<br/>
๒. ตรัสรู้<br/>
๓. ทรงแสดงธรรมจักกัปปวัตตนสูตรเป็นครั้งแรก<br/>
๔. เสด็จปรินิพพาน ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ครั้งพุทธกาล "วันเชตวัน" ตั้งอยู่ที่เมืองอะไร ? ใครเป็นผู้สร้างถวาย ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ตั้งอยู่ที่เมืองสาวัตถี ฯ<br/>
คฤหบดีอนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นผู้สร้างถวาย ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ถูปารหบุคคล มีกี่ประเภท ? คือใครบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ถูปารหบุคคล มี ๔ ประเภท คือ ฯ<br/>
๑. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า<br/>
๒. พระปัจเจกพุทธเจ้า<br/>
๓. พระอรหันตสาวก<br/>
๔. พระเจ้าจักรพรรดิราช ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">สถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ชื่อว่าอะไร ? ตั้งอยู่ในเมืองอะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> สถานที่ถวายพระเพลิงชื่อว่า มกุฏพันธนเจดีย์ ฯ<br/>
ตั้งอยู่ในเมืองกุสินารา ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ใครถวายบิณฑบาตแด่พระพุทธองค์ก่อนตรัสรู้ และก่อนปรินิพพาน ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ก่อนตรัสรู้ คือ นางสุชาดา<br/>
ก่อนปรินิพพาน คือ นายจุนทะ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ปฐมสาวก และ ปัจฉิมสาวก คือใคร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ปฐมสาวก คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ<br/>
ปัจฉิมสาวก คือ พระสุภัททะ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">บุคคลผู้แสดงตนเป็นอุบาสกด้วยการถึงรัตนะ ๒ และรัตนะ ๓ เป็นคนแรกคือใคร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ผู้ถึงรัตนะ ๒ คือ ตปุสสะและภัลลิกะ ฯ<br/>
ผู้ถึงรัตนะ ๓ คือ บิดาพระยสะ ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">ศาสนพิธี คืออะไร ? ผู้ที่ได้เรียนรู้แล้วได้รับประโยชน์อย่างไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> คือ แบบอย่างหรือแบบแผนต่าง ๆ ที่พึงปฏิบัติในทางพระศาสนา ฯ<br/>
ย่อมได้รับประโยชน์ คือ เป็นผู้ฉลาดในพิธีกรรมที่เกี่ยวด้วยการ บำเพ็ญกุศล การทำบุญและการถวายทาน สามารถในการจัดพิธีต่าง ๆ ได้ถูกต้องตามระเบียบแบบแผน ชื่อว่า เป็นผู้รักษาขนบ
ประเพณี อันงดงามของพระพุทธศาสนาไว้ได้ด้วย ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">การแสดงตนเป็นพุทธมามกะ คืออะไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> การแสดงตนเป็นพุทธมามกะ คือ การประกาศตนว่าเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">การแสดงความเคารพพระ มีกี่วิธี ? อะไรบ้าง ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> การแสดงความเคารพพระ มี ๓ วิธี ฯ คือ<br/>
๑. ประนมมือ ในบาลีเรียกว่า ทำอัญชลี<br/>
๒. ไหว้ ในบาลีเรียกว่า นมัสการ<br/>
๓. กราบ ในบาลีเรียกว่า อภิวาท ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">การเผดียงสงฆ์และการอาราธนา ต่างกันอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ</b> ต่างกันคือ<br/>
การเผดียงสงฆ์ ได้แก่ การแจ้งความประสงค์ให้สงฆ์ทราบ<br/>
การอาราธนา ได้แก่ การนิมนต์พระสงฆ์ในพิธีให้ศีล สวดพระปริตร หรือ แสดงธรรม ฯ
</li>
<li>
<b><span style="color: #003380;">คำว่า "เจริญพระพุทธมนต์" กับ "สวดพระพุทธมนต์" ใช้ในพิธี ต่างกันอย่างไร ?</span></b><br/>
<b>ตอบ </b> คำว่า “เจริญพระพุทธมนต์” ใช้ในพิธีมงคล<br/>
ส่วนคำว่า “สวดพระพุทธมนต์” ใช้ในพิธีอวมงคล ฯ
</li>
</ol>
</div>
<br/>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2983053855378828333.post-9780452950515711562023-06-02T22:40:00.012+07:002023-07-07T01:56:17.652+07:00กำหนดการวันสอบธรรมสนามหลวง ปี พ.ศ. ๒๕๖๖<div class="separator" style="clear: both;"><img id="myImg1" alt="กำหนดการวันสอบธรรมสนามหลวง ปี พ.ศ. ๒๕๖๖" border="0" data-original-height="1920" data-original-width="1536" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgwgs0Jyr2G191lhuWEGVVFOdlJ7EMRE6ckVbyJ7y2ywVyyZExap_Fe9vUlHVz13OIzNuFS7hjWORLkDgsWmAhZfTUpy_GgQ19wQGk48cvF5KxEi5_gtMaE2p89G54RNO-u8i9FTV0FNbgIs3DVBdo5lAb-Bn-nRG-6b3mCmhujZrmiNSmGRQ_DOpa-/s1600-rw/day-exam-dharm2566.webp" title="กำหนดการวันสอบธรรมสนามหลวง ปี พ.ศ. ๒๕๖๖" /></div>
<br />
<iframe allow="accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture" allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/skUSkgBuIrM?&autoplay=1" title="กำหนดสอบธรรมสนามหลวงปี ๒๕๖๖" width="560"></iframe>
<br />
<br />
<br />
<style>
#myImg1 {
border-radius: 12px;
}
</style>
<h1 style="color: #006600;">นักธรรมชั้นตรี (สมัยที่ ๑)</h1>
<h3 style="color: #b30000;">ตั้งแต่วันที่ ๒๓-๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๖</h3>
<h3>วันจันทร์ ที่ ๒๓ เดือน ตุลาคม ๒๕๖๖<br />
เวลา ๑๓:๐๐-๑๖:๐๐ น.<br />
สอบวิชา เรียงความแก้กระทู้ธรรม</h3>
<h3>วันอังคาร ที่ ๒๔ เดือน ตุลาคม ๒๕๖๖<br />
เวลา ๑๓:๐๐-๑๖:๐๐ น.<br />
สอบวิชาธรรม</h3>
<h3>วันพุธ ที่ ๒๕ เดือน ตุลาคม ๒๕๖๖<br />
เวลา ๑๓:๐๐-๑๖:๐๐ น.<br />
สอบวิชาพุทธ</h3>
<h3>วันพฤหัสบดี ที่ ๒๖ เดือน ตุลาคม ๒๕๖๖<br />
เวลา ๑๓:๐๐-๑๖:๐๐ น.<br />
สอบวิชาวินัย</h3>
<br />
<br />
<h1 style="color: #0066ff;">นักธรรมชั้นโทและเอก(สมัยที่ ๒)</h1>
<h3 style="color: #b30000;">ตั้งแต่วันที่ ๒๙ พ.ย. - ๒ ธ.ค. ๒๕๖๖</h3>
<h3>วันพุธที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๖<br />
เวลา ๑๓:๐๐-๑๖:๐๐ น.<br />
สอบวิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม</h3>
<h3>วันพฤหัสบดีที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๖<br />
เวลา ๑๓:๐๐-๑๖:๐๐ น.<br />
สอบวิชาธรรม</h3>
<h3>วันศุกร์ที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๖<br />
เวลา ๑๓:๐๐-๑๖:๐๐ น.<br />
สอบวิชาพุทธ</h3>
<h3>วันเสาร์ที่ ๒ ธันความ ๒๕๖๖<br />
เวลา ๑๓:๐๐-๑๖:๐๐ น.<br />
สอบวิชาวินัย</h3>
<br />
<br />
<h1 style="color: #990099;">ธรรมศึกษาชั้นตรี โท เอก (นักเรียนและประชาชนทั่วไป)</h1>
<h3 style="color: #b30000;">ในวันพฤหัสบดีที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๖</h3>
<h3>เวลา ๐๘:๓๐-๑๑:๓๐ น.<br />
สอบวิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม</h3>
<h3>เวลา ๑๓:๐๐-๑๓:๕๐ น.<br />
สอบวิชาธรรม</h3>
<h3>เวลา ๑๔:๐๐-๑๔:๕๐ น.<br />
สอบวิชาพุทธ</h3>
<h3>เวลา ๑๕:๐๐-๑๕:๕๐ น.<br />
สอบวิชาวินัย</h3>
<br />
<hr />
<br />
<style>
.button {
background-color: #ffcc00;
border: none;
color: black;
padding: 15px 50px;
text-align: center;
font-size: 20px;
text-decoration: none;
display: inline-block;
margin: 0px 20px 15px;
cursor: pointer;
border-radius: 10px;
}
.button:hover {
background-color: #009900;
color: white;
}
a:visited {
color: #000000;
text-decoration: none;
}
a:hover {
color: blue;
}
</style>
<center><a href="https://drive.google.com/file/d/15mOUYW78aKipMVIr1p0fyr8g3sHHpyCM/preview" rel="nofollow" target="_blank"><button class="button"><b>ดาวน์โหลดฟรี</b></button></a></center>
<br />
<center><h2>ประกาศสำนักงานแม่กองธรรมสนามหลวงปี พ.ศ. ๒๕๖๖ </h2></center>
<center><iframe height="600" src="https://drive.google.com/file/d/15mOUYW78aKipMVIr1p0fyr8g3sHHpyCM/preview" width="900"></iframe></center>
<br />
<br />Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2983053855378828333.post-3681224796984142562023-04-06T17:47:00.003+07:002023-04-07T07:08:09.829+07:00มนาโป โหติ ขนฺติโก "ผู้มีความอดทนย่อมเป็นที่ชอบใจของผู้อื่น" | กระทู้ธรรมชั้นโท ระดับประถม | สุภาษิตที่ ๖<div class="separator" style="clear: both;"><img alt="วิธีการเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรมชั้นตรี, มนาโป โหติ ขนฺติโก ผู้มีความอดทนย่อมเป็นที่ชอบใจของผู้อื่น" border="0" data-original-height="800" data-original-width="1200" id="myImg1" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjrAHfEOO04OEW183KotfQ3QB-7-CEgp0hlhv-Y4PbgyT6-94twbOA0Wbl2mloe-rwv_NoZvRmg2b138Qe-31pkA6Qk82R9L4D7wiq-7xf3-mq2upn8qt4GB4ABwqVbHIYjf1jEOE9z_DRkQCWGEbg9C0qc5xpr9lhOACdGLSMAn4tHa8SS4GfHF-V4/s1600-rw/Tho_06.webp" title="มนาโป โหติ ขนฺติโก ผู้มีความอดทนย่อมเป็นที่ชอบใจของผู้อื่น" /></div>
<p class="round1"><b>อ่านบาลีว่า:</b><br />มะ-นา-โป, โห-ติ, ขัน-ติ-โก</p>
<center><h2>อ่านแนวนำมาเขียนอธิบาย</h2></center>
<hr style="background-color: grey; border-width: 0px; color: grey; height: 2px;" />
<center><h1> มนาโป โหติ ขนฺติโก <br/>ผู้มีความอดทนย่อมเป็นที่ชอบใจของผู้อื่น</h1></center>
คำว่า <b>ผู้มีความอดทน</b> คือ ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งมั่นคง ไม่หวั่นไหวทั้งทางกายและจิตใจ เช่น อดทนต่อความลำบากตรากตรำ อดทนต่อทุกขเวทนา อดทนต่อความเจ็บใจ และอดอดทนต่ออำนาจของกิเลสที่มากระทบ เช่น อดทนต่ออารมณ์ที่ยั่วยุให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลงทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อันจะนำไปสู่การทำผิดศีลธรรม เป็นต้น
<br/>
<br/>
<b>บุคคลผู้ที่มีความอดทน</b> ดังที่กล่าวนี้ ย่อมเป็นที่รักใคร่ชอบใจของคนโดยทั่วไป เพราะเป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อทุกๆ คน เมื่อคบค้าสมาคมแล้วไม่เดือดร้อน ไม่ทุกข์ใจ อยู่ใกล้แล้วสบายใจ ไม่ต้องระแวง
<br/>
<br/>
และ<b>บุคคลผู้ที่มีความอดทน</b> เป็นแบบอย่างที่ดีได้และสามารถให้คำแนะนำผู้อื่นได้ ดังนั้น ผู้มีความอดทนจึงเป็นที่ชอบใจของผู้อื่น และได้รับแต่ประโยชน์สุขอันเกิดจากขันติธรรมฝ่ายเดียว
<br/>
<br/>
<b>บุคคลผู้ที่มีความอดทน</b> สามารถเป็นกัลยาณมิตรให้แก่ผู้อื่นได้ เพราะเขาเป็นคนใจเย็น ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีได้ และสามารถให้คำแนะนำผู้อื่นในเรื่องของความอดทนได้ เป็นบุคคลที่น่าคบค้าสมาคม
<br/>
<br/>
<center><b>สุภาษิตมาใน</b>: <br />สวดมนต์ฉบับหลวง<br />
<b>ตัวย่อสุภาษิต</b>: <br />(ส.ม)</center>
<br />
<br />
<div style="text-align: center;"><span style="font-size: x-small;">ADVERTISMENT</span></div>
<center>
<script async src="https://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/adsbygoogle.js?client=ca-pub-7077631710158881"
crossorigin="anonymous"></script>
<!-- Ads Header -->
<ins class="adsbygoogle"
data-ad-client="ca-pub-7077631710158881"
data-ad-slot="5512450080"
style='display:inline-block;height:100px;width:750px;line-height:0px;'></ins>
<script>
(adsbygoogle = window.adsbygoogle || []).push({});
</script>
</center>
<br />
<center><h1>ตัวอย่างการเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรมบทนี้</h1></center>
<center><iframe alt="ตัวอย่างการเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรมชั้นโท" height="600" src="https://drive.google.com/file/d/1jFpEetU2xpGUl1L8nE17b9Z1iJz1MAYe/preview" title="ตัวอย่างการเขียนกระทู้ธรรมชั้นโท ระดับชั้นประถมศึกษา" width="900"></iframe></center>
<br/>
<br/>
<html>
<head>
<style>
.post-body h1 {
color: #0053fe;
}
p.round1 {
font-size: 20px;
}
p.round1 {
border: 1px solid #ccc;
border-radius: 12px;
padding: 5px;
text-align: center;
}
#myImg1 {
border-radius: 12px;
</style>
</head>
</html>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2983053855378828333.post-36908434345570838952023-04-06T02:55:00.013+07:002023-04-07T07:08:09.830+07:00ขนฺติ หิตสุขาวหา "ความอดทนนำมาซึ่งประโยชน์สุข" | กระทู้ธรรมชั้นโท ระดับประถม | สุภาษิตที่ ๕<div class="separator" style="clear: both;"><img alt="วิธีการเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรมชั้นตรี, ขนฺติ หิตสุขาวหา ความอดทนนำมาซึ่งประโยชน์สุข" border="0" data-original-height="800" data-original-width="1200" id="myImg1" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg0fJ647t_YnOwZXzpf7KaCGIGzlof2AkHVeU3t2RtTRBKb1pUOL2LpU2hBjTYHofG_831e1GpMQMqtlPsywLiljPbFRODRF2GYbfE-xu_zqioNEEEydh0nLUfkOiIpQiOJthrAt-pkaRMLp8i4DNVEw5w-5gma9MG9t8UKlNUw0XDQG0P_mzXHXfPT/s1600-rw/Tho_05.webp" title="ขนฺติ หิตสุขาวหา ความอดทนนำมาซึ่งประโยชน์สุข" /></div>
<p class="round1"><b>อ่านบาลีว่า:</b><br />ขัน-ติ, หิ-ตะ-สุ-ขา-วะ-หา</p>
<center><h2>อ่านแนวนำมาเขียนอธิบาย</h2></center>
<hr style="background-color: grey; border-width: 0px; color: grey; height: 2px;" />
<center><h1> ขนฺติ หิตสุขาวหา <br/>ความอดทนนำมาซึ่งประโยชน์สุข</h1></center>
<b>คำว่า ความอดทน</b> คือ อาการที่ไม่หวั่นไหวทั้งทางกายและทางใจ ในเมื่อประสบกับสภาพที่ไม่น่าพอใจ ๔ ประเภท คือ<br/>
๑) อดทนต่อธรรมชาติ มีหนาว ร้อน ฝนตก แดดออก<br/>
๒) อดทนต่อความเหนื่อยยากลำบากในการทำงาน<br/>
๓) อดทนต่อความทุกขเวทนาอันเกิดจากความเจ็บปวดและโรคภัยไข้เจ็บ<br/>
๔) อดทนต่อความเจ็บใจ ไม่แสดงอาการโกรธ หรือไม่แสดงความไม่พอใจเมื่อถูกกระทบกระทั่งจากคนอื่น
<br/>
<br/>
<b>คนที่มีความอดทน</b> เมื่อประสบกับสภาพที่ไม่น่าพอใจดังกล่าว ย่อมประสบแต่ความสุขความเจริญ สามารถปฏิบัติหน้าที่การงานให้สำเร็จลุล่วงได้ และขันติคือความอดทนนั้น ยังเป็นด่านแรกที่จะป้องกันกิเลสได้ เมื่อกิเลสเกิดขึ้นในใจ
<br/>
<br/>
ถ้าเรามี<b>ขันติคือความอดทน</b>อดกลั้น อดทนต่ออำนาจของกิเลสนั้นได้ กิเลสก็จะไม่สามารถครอบงำจิตใจได้ ไม่สามารถบงการจิตใจให้ทำสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายตามอำนาจของมันได้ ผลร้ายอันจะเกิดจากการทำตามอำนาจของกิเลสก็จะไม่เกิดขึ้น
<br/>
<br/>
ดังนั้น <b>ความอดทนจึงนำมาซึ่งประโยชน์สุข</b> ทั้งในแง่ของการปฏิบัติหน้าที่การงาน ทั้งในแง่ของการปฏิบัติธรรมเพื่อกำจัดทุกข์ด้วย
<br/>
<br/>
<center><b>สุภาษิตมาใน</b>: <br />สวดมนต์ฉบับหลวง<br />
<b>ตัวย่อสุภาษิต</b>: <br />(ส.ม)</center>
<br />
<br />
<div style="text-align: center;"><span style="font-size: x-small;">ADVERTISMENT</span></div>
<center>
<script async src="https://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/adsbygoogle.js?client=ca-pub-7077631710158881"
crossorigin="anonymous"></script>
<!-- Ads Header -->
<ins class="adsbygoogle"
data-ad-client="ca-pub-7077631710158881"
data-ad-slot="5512450080"
style='display:inline-block;height:100px;width:750px;line-height:0px;'></ins>
<script>
(adsbygoogle = window.adsbygoogle || []).push({});
</script>
</center>
<br />
<center><h1>ตัวอย่างการเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรมบทนี้</h1></center>
<center><iframe alt="ตัวอย่างการเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรมชั้นโท" height="600" src="https://drive.google.com/file/d/1VOa_08UWyY2uobbxfyHBQ5H4cCMwkMfI/preview" title="ตัวอย่างการเขียนกระทู้ธรรมชั้นโท ระดับชั้นประถมศึกษา" width="900"></iframe></center>
<br/>
<br/>
<html>
<head>
<style>
.post-body h1 {
color: #0053fe;
}
p.round1 {
font-size: 20px;
}
p.round1 {
border: 1px solid #ccc;
border-radius: 12px;
padding: 5px;
text-align: center;
}
#myImg1 {
border-radius: 12px;
</style>
</head>
</html>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2983053855378828333.post-22717696971174292062023-04-05T06:45:00.009+07:002023-04-07T07:08:09.830+07:00ขนฺติ สาหสวารณา "ความอดทนห้ามซึ่งความผลุนผลันไว้ได้" | กระทู้ธรรมชั้นโท ระดับประถม | สุภาษิตที่ ๔<div class="separator" style="clear: both;"><img alt="วิธีการเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรมชั้นตรี, ขนฺติ สาหสวารณา ความอดทนห้ามซึ่งความผลุนผลันไว้ได้" border="0" data-original-height="800" data-original-width="1200" id="myImg1" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhMWuaItK7pDDQv8JbryAgNGdUEXFjwwmI5LejZl5zD1ubbM3RLgX7Re94RUJZfQNZSOJusABv_1IgUvUyX8aBEsxwHv_oX88iVDvhe6_W7dQJULkZM0I9_v8ORYW4bUK6xCB_8ClVVuzoktZNV_AkUYACB8AXUZrQuQBw35Ro6ew7G2WiMGgACwKpK/s1600-rw/Tho_04.webp" title="ขนฺติ สาหสวารณา ความอดทนห้ามซึ่งความผลุนผลันไว้ได้" /></div>
<p class="round1"><b>อ่านบาลีว่า:</b><br />ขัน-ติ, สา-หะ-สะ-วา-ระ-นา</p>
<center><h2>อ่านแนวนำมาเขียนอธิบาย</h2></center>
<hr style="background-color: grey; border-width: 0px; color: grey; height: 2px;" />
<center><h1>ขนฺติ สาหสวารณา <br/>ความอดทนห้ามซึ่งความผลุนผลันไว้ได้</h1></center>
คำว่า <b>ความผลุนผลัน</b> คือ การกระทำโดยขาดความยั้งคิด คือการทำกิจใดๆ โดยขาดความรอบคอบ ขาดสติ คิดเร็วทำเร็วโดยขาดการใช้ปัญญาพิจารณา จึงอาจทำให้สิ่งที่ทำนั้นผิดพลาดได้
ความผลุนผลัน เป็นสิ่งที่ทำให้งานที่ทำออกมาไม่ละเอียด เพราะไม่ได้มีการวางแผน ทำแบบรีบเร่งจนลืมพิจารณารายละเอียดบางอย่างที่สำคัญไป อันเกิดจากการด่วนคิด ด่วนตัดสินใจนั่นเอง
<br />
<br />
<b>แต่ถ้าเรามีความอดทน</b> สามารถอดใจรอได้ จะทำให้เราไม่ด่วนตัดสินใจจนเกินไป ทำให้มีเวลาคิดพิจารณามากยิ่งขึ้น หากนำขันติคือความอดทนมาใช้ในการทำงาน ก็จะทำให้งานออกมาดี มีความละเอียด และมีความผิดพลาดน้อย หรือไม่มีความผิดพลาดเลย
<br />
<br />
ดังนั้น <b>ขันติคือความอดทนนี้</b> มีอุปการะทั้งต่อการปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลส เพราะเป็นปราการด่านแรกที่ป้องกันกิเลสได้ และยังมีอุปการะต่อการทำกิจการงานทั้งหลายด้วย เพราะงานที่ทำด้วยขันตินั้น ย่อมจะสามารถบรรลุผลสัมฤทธิ์ได้ดีกว่างานที่ทำโดยขาดขันติ
<br/>
<br/>
<center><b>สุภาษิตมาใน</b>: <br />สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส<br />
<b>ตัวย่อสุภาษิต</b>: <br />(ว.ว)</center>
<br />
<br />
<div style="text-align: center;"><span style="font-size: x-small;">ADVERTISMENT</span></div>
<center>
<script async src="https://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/adsbygoogle.js?client=ca-pub-7077631710158881"
crossorigin="anonymous"></script>
<!-- Ads Header -->
<ins class="adsbygoogle"
data-ad-client="ca-pub-7077631710158881"
data-ad-slot="5512450080"
style='display:inline-block;height:100px;width:750px;line-height:0px;'></ins>
<script>
(adsbygoogle = window.adsbygoogle || []).push({});
</script>
</center>
<br />
<center><h1>ตัวอย่างการเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรมบทนี้</h1></center>
<center><iframe alt="ตัวอย่างการเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรมชั้นโท" height="600" src="https://drive.google.com/file/d/1NXVm2QeQNGEwoxx--Wo9gAaLDatkkUR7/preview" title="ตัวอย่างการเขียนกระทู้ธรรมชั้นโท ระดับชั้นประถมศึกษา" width="900"></iframe></center>
<br/>
<br/>
<html>
<head>
<style>
.post-body h1 {
color: #0053fe;
}
p.round1 {
font-size: 20px;
}
p.round1 {
border: 1px solid #ccc;
border-radius: 12px;
padding: 5px;
text-align: center;
}
#myImg1 {
border-radius: 12px;
</style>
</head>
</html>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2983053855378828333.post-58734282145312957032023-04-04T02:54:00.007+07:002023-04-07T07:08:09.830+07:00ททโต ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ "เมื่อให้บุญก็เพิ่มขึ้น" | กระทู้ธรรมชั้นโท ระดับประถม | สุภาษิตที่ ๓<div class="separator" style="clear: both;"><img alt="วิธีการเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรมชั้นตรี, ททโต ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ เมื่อให้บุญก็เพิ่มขึ้น" border="0" data-original-height="800" data-original-width="1200" id="myImg1" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi43FaxoT3GtoNbG2y4tVWBKL96Nju0cb4_JYjLSxBSD6ufmwkNdHfFF6N1yuH25PNQym23PeXDivxiiL0M_Yn1pVCrr5g7juAyd-wqgCVgZvlocYeR_FIdMRzSbdlQ_q05H4FRpV3KeAQFSfUPUEvhzfSoy5Ma8EeIxc2rgywshNvxR8OBAhEpAvXa/s1600-rw/Tho_03.webp" title="ททโต ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ เมื่อให้บุญก็เพิ่มขึ้น" /></div>
<p class="round1"><b>อ่านบาลีว่า:</b><br />ทะ-ทะ-โต, ปุน-ยัง, ปะ-วัด-ทะ-ติ</p>
<center><h2>อ่านแนวนำมาเขียนอธิบาย</h2></center>
<hr style="background-color: grey; border-width: 0px; color: grey; height: 2px;" />
<center><h1>ททโต ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ <br/>เมื่อให้บุญก็เพิ่มขึ้น</h1></center>
คำว่า <b>บุญ</b> เป็นชื่อของความสุข ในที่นี้หมายถึงบุญที่เป็นทานมัย คือ บุญที่สำเร็จด้วยการบริจาคทาน ได้แก่ บุญที่เกิดจากการถวายปัจจัย ๔ ที่ตนหามาได้อย่างสุจริตยุติธรรม ตลอดถึงการอนุเคราะห์ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เช่น ให้ความรู้เป็นวิทยาทาน ให้ธรรมะ ให้เงินทอง บริจากเลือด บริจาคชีวิตให้แก่โรงพยาบาล สร้างคุณประโยชน์ให้แก่สังคม ประเทศชาติ พระศาสนา เป็นต้น
<br/>
<br/>
หากผู้ให้ทำด้วยความตั้งใจให้จริงๆ แล้ว ก็หมายความว่าเราทำบุญเพื่อกำจัดความตระหนี่ในใจ ทำให้เป็นคนกล้าเสียสละ ความสุขทางใจก็เกิดขึ้น บุญที่สั่งสมมาก็เพิ่มพูนมากขึ้นด้วย และยิ่งให้บ่อยบุญก็เกิดบ่อย ยิ่งให้มากบุญก็ยิ่งเกิดมาก เหตุนี้ ผู้ให้จึงได้ชื่อว่า เป็นผู้บำเพ็ญบุญและสั่งสมความสุข
<br/>
<br/>
ดังนั้น เราพึงรู้จักให้ หากไม่เป็นการทำตนเองให้เดือดร้อน ท่านจึงสอนให้รู้จักเป็นผู้ให้ เพราะเมื่อเราให้ออกไปบุญก็เพิ่มมากขึ้น
<br/>
<br/>
<center><b>สุภาษิตมาใน</b>: <br />ทีฆนิกาย มหาวรรค, ขุททกนิกาย อุทาน<br />
<b>ตัวย่อสุภาษิต</b>: <br />(ที.มหา. ๑๐/๑๕๙, ขุ.อุ. ๒๕/๒๑๕)</center>
<br />
<br />
<div style="text-align: center;"><span style="font-size: x-small;">ADVERTISMENT</span></div>
<center>
<script async src="https://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/adsbygoogle.js?client=ca-pub-7077631710158881"
crossorigin="anonymous"></script>
<!-- Ads Header -->
<ins class="adsbygoogle"
data-ad-client="ca-pub-7077631710158881"
data-ad-slot="5512450080"
style='display:inline-block;height:100px;width:750px;line-height:0px;'></ins>
<script>
(adsbygoogle = window.adsbygoogle || []).push({});
</script>
</center>
<br />
<center><h1>ตัวอย่างการเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรมบทนี้</h1></center>
<center><iframe alt="ตัวอย่างการเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรมชั้นโท" height="600" src="https://drive.google.com/file/d/13IAgjwwl0FXCJDJwEfS26cJN0BWYShT5/preview" title="ตัวอย่างการเขียนกระทู้ธรรมชั้นโท ระดับชั้นประถมศึกษา" width="900"></iframe></center>
<br/>
<br/>
<html>
<head>
<style>
.post-body h1 {
color: #0053fe;
}
p.round1 {
font-size: 20px;
}
p.round1 {
border: 1px solid #ccc;
border-radius: 12px;
padding: 5px;
text-align: center;
}
#myImg1 {
border-radius: 12px;
</style>
</head>
</html>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2983053855378828333.post-43053041312950792542023-04-02T04:20:00.006+07:002023-04-07T07:08:09.830+07:00ททมาโน ปิโย โหติ "ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก" | กระทู้ธรรมชั้นโท ระดับประถม | สุภาษิตที่ ๒<div class="separator" style="clear: both;"><img alt="ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก" border="0" data-original-height="800" data-original-width="1200" id="myImg1" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi5GgbIHSYK1F_I4sPUHhEQk-Y70YejmH_NWaGn_gkZ3mdRBBfZ9Ag04pDZ3wo0kLI8qjo5XcZhXv90OSF4cv6PgRa8t5LSh5P3xqF3XzH8pnprLYhNXl7R7BpniSbDNbO-GhRwzow361yTpAONEnLVx3-yM6c-1TkbgRw3MQavJVE5aT6NV4syCOqz/s1600-rw/Tho_02.webp" title="ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก" /></div>
<p class="round1"><b>อ่านบาลีว่า:</b><br />ทะ-ทะ-มา-โน, ปิ-โย, โห-ติ</p>
<center><h2>อ่านแนวนำมาเขียนอธิบาย</h2></center>
<hr style="background-color: grey; border-width: 0px; color: grey; height: 2px;" />
<center><h1>ททมาโน ปิโย โหติ <br/>ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก</h1></center>
คำว่า <b>ผู้ให้</b> คือ ผู้ที่มีจิตใจเสียสละ รู้จักสละให้ปันสิ่งของของตนเองแก่ผู้อื่นด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ มีความโอบอ้อมอารี และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เพื่อช่วยเหลือคนอื่นในยามที่เขาขัดสนบ้าง ตกทุกข์ได้ยากบ้าง หรือให้เพื่อบูชาคุณของผู้ที่ควรบูชาบ้าง ไม่ว่าจะให้ด้วยเหตุผลใดก็ตาม การให้นั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง เพราะผู้ให้ต้องต่อสู้กับความตระหนี่ถี่เหนียวที่ติดอยู่ในจิตใจของตน
<br/>
<br/>
เพราะฉะนั้น <b>บุคคลผู้มีปกติให้</b> ย่อมเป็นที่รักของผู้ได้รับและย่อมจะได้รับมิตรภาพจากผู้รับเสมอ การให้หรือเป็นผู้ให้จึงเป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญ และควรทำเป็นอย่างยิ่ง ดังที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสรรเสริญผู้ให้ ว่าผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของคนอื่น
<br/>
<br/>
<center><b>สุภาษิตมาใน</b>: <br />อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต<br />
<b>ตัวย่อสุภาษิต</b>: <br />(องฺ.ปญฺจก. ๒๒/๔๔)</center>
<br />
<br />
<div style="text-align: center;"><span style="font-size: x-small;">ADVERTISMENT</span></div>
<center>
<script async src="https://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/adsbygoogle.js?client=ca-pub-7077631710158881"
crossorigin="anonymous"></script>
<!-- Ads Header -->
<ins class="adsbygoogle"
data-ad-client="ca-pub-7077631710158881"
data-ad-slot="5512450080"
style='display:inline-block;height:100px;width:750px;line-height:0px;'></ins>
<script>
(adsbygoogle = window.adsbygoogle || []).push({});
</script>
</center>
<br />
<center><h1>ตัวอย่างการเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรมบทนี้</h1></center>
<center><iframe alt="ตัวอย่างการเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรมชั้นโท" height="600" src="https://drive.google.com/file/d/1D2OgfoUebCj9tNS8Ggr_lgTvoYIJlhSt/preview" title="ตัวอย่างการเขียนกระทู้ธรรมชั้นโท ระดับชั้นประถมศึกษา" width="900"></iframe></center>
<br/>
<br/>
<html>
<head>
<style>
.post-body h1 {
color: #0053fe;
}
p.round1 {
font-size: 20px;
}
p.round1 {
border: 1px solid #ccc;
border-radius: 12px;
padding: 5px;
text-align: center;
}
#myImg1 {
border-radius: 12px;
</style>
</head>
</html>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2983053855378828333.post-87548605257583398402023-04-01T22:42:00.008+07:002023-04-07T07:08:09.831+07:00ททํ มิตฺตานิ คนฺถติ ผู้ให้ย่อมจะผูกมิตรไว้ได้ | กระทู้ธรรมชั้นโท ระดับประถม | สุภาษิตที่ ๑<div class="separator" style="clear: both;"><img alt="ททํ มิตฺตานิ คนฺถติ ผู้ให้ย่อมจะผูกมิตรไว้ได้" border="0" data-original-height="800" data-original-width="1200" id="myImg1" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgNFuIkPvjL4OFSEoIJ_ByNFZv4THl7xRYKw1rj4KI9Bg9IDktcM8gcATc534S2UN_SscPS28QA2lS6BI4RbbvjuRhdD6bUj4Cff2QjRDt1UPdVER73D941hLmeKRBqSHMMhCPdybBuS7Y7hVELIbx70tLHBTNCK3DF_GVFLvbFb-pJByAn9utfTqhH/s1600-rw/Tho_01.webp" title="ททํ มิตฺตานิ คนฺถติ ผู้ให้ย่อมจะผูกมิตรไว้ได้" /></div>
<p class="round1"><b>อ่านบาลีว่า:</b><br />ทะ-ทัง, มิด-ตา-นิ, คัน-ถะ-ติ</p>
<center><h2>อ่านแนวนำมาเขียนอธิบาย</h2></center>
<hr style="background-color: grey; border-width: 0px; color: grey; height: 2px;" />
<center><h1>ททํ มิตฺตานิ คนฺถติ <br/>ผู้ให้ย่อมจะผูกมิตรไว้ได้</h1></center>
คำว่า <b>ผู้ให้</b> คือ ผู้ที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เสียสละให้ปันสิ่งของของตนเองแก่ผู้อื่นด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ ด้วยต้องการบุญกุศลหรือต้องการช่วยเหลือ บุคคลผู้มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ดังกล่าว ย่อมเป็นผู้ที่บุคคลอื่นเคารพ นับถือ โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับสิ่งของหรือได้รับน้ำใจจากเขา ย่อมจะมีความรักมีความนับถือในตัวเขาเป็นอันมาก
<br/>
<br/>
เพราะการที่บุคคลจะสละให้ปันแก่บุคคลอื่นได้นั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง การให้นั้นก่อให้เกิดความประทับใจทั้งแก่ผู้ให้และผู้รับ ผู้ให้ก็มีความสุขใจที่ได้ให้ ผู้รับก็มีความประทับใจในตัวผู้ให้
<br/>
<br/>
เพราะฉะนั้น การให้ปันสิ่งของแก่กันและกัน จึงเป็นการสร้างมิตรภาพที่ดีต่อกัน
<br/>
<br/>
<center><b>สุภาษิตมาใน</b>: <br />สังยุตตนิกาย สคาถวรรค<br />
<b>ตัวย่อสุภาษิต</b>: <br />(สํ.ส. ๑๕/๓๑๖)</center>
<br />
<br />
<div style="text-align: center;"><span style="font-size: x-small;">ADVERTISMENT</span></div>
<center>
<script async src="https://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/adsbygoogle.js?client=ca-pub-7077631710158881"
crossorigin="anonymous"></script>
<!-- Ads Header -->
<ins class="adsbygoogle"
data-ad-client="ca-pub-7077631710158881"
data-ad-slot="5512450080"
style='display:inline-block;height:100px;width:750px;line-height:0px;'></ins>
<script>
(adsbygoogle = window.adsbygoogle || []).push({});
</script>
</center>
<br />
<center><h1>ตัวอย่างการเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรมบทนี้</h1></center>
<center><iframe alt="ตัวอย่างการเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรมชั้นโท" height="600" src="https://drive.google.com/file/d/1M5sfkLXjPY7fjKTspC7uIbFEK4OgDD-p/preview" title="ตัวอย่างการเขียนกระทู้ธรรมชั้นโท ระดับชั้นประถมศึกษา" width="900"></iframe></center>
<br/>
<br/>
<html>
<head>
<style>
.post-body h1 {
color: #0053fe;
}
p.round1 {
font-size: 20px;
}
p.round1 {
border: 1px solid #ccc;
border-radius: 12px;
padding: 5px;
text-align: center;
}
#myImg1 {
border-radius: 12px;
</style>
</head>
</html>Unknownnoreply@blogger.com0